Tuesday, July 6, 2010

Tuesday, May 18, 2010

กบฏที่กำลังเป็น "ปลาปากแห" ให้ทหาร

By thaipost
Created 19 May 2553 - 00:00

กรุงเทพฯ ประกาศเป็นสัปดาห์ "หยุดงาน-กวาดกบฏ" ตั้งแต่จันทร์ที่ ๑๗ พ.ค.-อาทิตย์ที่ ๒๓ พ.ค.๕๓ ถ้าถามว่า "แน่นะ...จันทร์ที่ ๒๔ พ.ค. ชีพจรเมืองจะเดินปกติ?" ผมก็ว่า ถึงวันนั้น "น่าจะปกติ" แต่ถ้ายัง...แสดงว่าต้องมี "ปาฏิหาริย์เหนือวิกฤติ" เกิดขึ้น แต่ไม่ต้องไปสนใจเรื่องปาฏิหาริย์ ที่ควรสนใจคือ จากจันทร์หน้าเป็นต้นไป เราจะไม่เห็น "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" อีก แต่จะเห็น "การทหารและการเมือง" นำบ้านเมืองออกจากฝันร้ายด้วย "โครงสร้างใหม่ๆ" ร่วมกันในระบบรัฐสภา
และนั่นคืออะไร...ผมก็ไม่ทราบ เพียงแต่ "ภาวะเหนือความเข้าใจ" บางอย่าง...กระซิบบอก!?
เมื่อพฤษภาคม ๒๕๓๕ คือเมื่อ ๑๘ ปีที่แล้ว เราเกิด "พฤษภาทมิฬ"
และวันนี้ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตัวเลขเดียวกัน แต่กลับกันจาก ๓๕ มาเป็น ๕๓ เราเกิด "พฤษภา-มหานรก" ถ้ามองในมุมรหัสดาว ก็ไม่น่าแปลกใจตามวงรอบดาวเสาร์ ซึ่งคุยกันไปแล้วว่า เสาร์รอบนี้เป็น "เสาร์รอบเช็กบิล" ใครทำดี ชีวิตอยู่ในศีล-ในธรรม ก็ถึงคราวชีวิตนำสุขมาสู่อันไม่เคยประสบเช่นนี้มาก่อน
แต่ถ้าใครทำชั่ว ชีวิตเกลือกกลั้วอยู่กับความเลวร้าย ก็ถึงคราววิบัติ ฉิบหาย-ตายจาก พรัดพราก ราพณาสูร วงจรชีวิตจะมีแต่โศกาอาดูร สิ่งที่เพิ่มพูนคือทุกข์ถมทุกข์!
ขณะนี้ รัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ ถ้าจะพูดให้เห็นภาพ เขาก็คือตัวแทน "ดาวเสาร์" มาทำหน้าที่เช็กบิล "มนุษย์บุญ-มนุษย์บาป" ไม่มีความหมายอะไรที่พวกกบฏแผ่นดิน ปากก็ตะโกนว่า "รัฐบาล-ทหารฆ่าประชาชน"
แต่มือพวกมัน...ฆ่าทหาร-เผาเมือง พยายามล้มสถาบัน เปลี่ยนระบอบ กระทำทารุณ โหดร้าย ป่าเถื่อน กับพี่น้องประชาชนร่วมชาติอันไม่เคยปรากฏว่ามนุษย์เมืองไหนจะทำกับบ้านเมือง ตัวเองอย่างที่ "กบฏทักษิณ" กำลังทำ!
รัฐบาล-ทหาร ไม่ได้ฆ่าประชาชน.....
แต่ฆ่าผู้ก่อการร้ายที่ทำลายเมือง เป็นการพิทักษ์ชาติ-ประชาชน!
ฝ่ายกบฏก่อการร้ายจะยอมเจรจา หรือไม่ยอมก็ตาม เมื่อมาถึงจุดนี้ คือจุดที่ "ไม่มีใครแพ้-ชนะ" เพราะแพ้ด้วยกันทั้งประเทศอยู่แล้ว รัฐบาล-ทหาร จะอ่อนข้อ-รามือเปิดโอกาสให้สัตว์ป่าเลียแผลไม่ได้ เพราะเห็นมาตลอดแล้วว่า "สัจจะไม่มีในหมู่โจร" เจรจากับโจรก็เจรจาไป แต่ฝ่ายรัฐต้องเป็นฝ่าย "หยัดอยู่-ชูกฎหมาย"
ไม่ใช่ให้โจรมาต่อรองนอกกรอบกฎหมาย ซึ่งจะทำให้อีกหลายกลุ่ม-หลายพวกในขบวนการยกเป็นเงื่อนไขมาต่อรองบ้างใน โอกาสต่อไป และนั่นก็จะทำให้คำว่า "๒ มาตรฐาน" ถูกโจรไร้ยางอายเวียนนำมาใช้ยามไม่ได้อย่างใจอีก!
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือน กันว่า สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.มาทำหน้าที่ตัวกลางในการเจรจาหาทางสงบศึกระหว่างกบฏกับรัฐบาล ไหนๆ ก็ทำดี เป็นสัญลักษณ์แห่งประสานสามัคคีอยู่แล้ว แต่ทำไมแม่ปูต้องแยก-แตกสามัคคีเป็นกลุ่ม ๖๔ ส.ว.บ้าง กลุ่ม ๔๐ ส.ว.บ้าง ไปทำหน้าที่ตัวกลาง กลุ่มใคร-กลุ่มมัน
เห็นแล้ว วุฒิภาวะแห่งวุฒิฯ จะมีตำหนิไปหน่อยนะครับ!
ในการปราบกบฏที่มีกองกำลังก่อการร้ายเป็นหน่วย รบนั้น ก็ชัดแล้วว่า "หัวหน้าผู้ก่อการร้าย" อยู่นอกประเทศ ขณะนี้อยู่กันพร้อมหน้าทั้งพ่อ-แม่-ลูก ช็อปปิ้งกันเพลินที่ฝรั่งเศส แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นที่ผมอยากจะบอก ที่อยากจะบอกคือ ยุทธการปราบกบฏครั้งนี้
ต้องใช้ระบบ "สื่อสารสังคม" ให้มาก!
โจรอยู่เรือนพุธ โจรก็ปากเก่ง แต่พุธถึงอาทิตย์ถึงพฤหัสฯ สู้ปากรัฐบาลไม่ได้ เพราะเป็นปาก "สีผึ้งเสก" ฉะนั้น พูดอะไร สังคมจะให้น้ำหนักในการเชื่อถือมากกว่า เพราะฉะนั้น การจะให้ชนะศึกทั้งในสนาม และทั้งในสนามสังคมโลก ศอฉ.จะต้องเป็นมิตรกับสื่อ และใช้การสื่อสาร "ออกข่าว-ออกจอ" เป็นประจำ
ดาว พุธของหัวหน้าโจรก่อการร้ายเสีย แต่ดาวพุธในดวงเมืองขณะนี้ รัฐบาล-ทหารกำลังดีวัน-ดีคืน และผมเชื่อว่า เสร็จศึกสนามแล้ว ต่อไปฝ่ายกบฏจะเปิดศึกทางมวลชนผ่านระบบสื่อ ฟ้องโน่น-ฟ้องนี่ ทั้งใน-นอกประเทศ โดยบิดเบือนทั้งเอกสาร ทั้งภาพ ให้ปรากฏว่า "รัฐบาล-ทหาร ฆ่าประชาชน"
พยานบุคคลที่เป็น "คนกลาง" สำหรับใช้อ้างอิงว่า "ใครพูดตรง-ใครพูดบิด" ได้ดีที่สุดคือ สื่อมวลชนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น นักข่าว-ช่างภาพ-ช่างกล้อง ที่ติดตามอยู่ในแต่ละเหตุการณ์ใกล้ชิดตลอด และนั่น ฝ่าย ศอฉ.ซึ่งปฏิบัติการเปิดเผยท่ามกลางการจับตาของสื่อมวลชน น่าจะรวบรวมรายชื่อ สังกัด สถานที่ติดต่อ ของสื่อมวลชนนั้นไว้ทั้งหมดในฐานะ "สื่อร่วมศึก"
เพราะสื่อมวลชน "คนกลาง" นี่แหละ เมื่อถึงคราวชี้ขาด สามารถบอกได้จากเหตุการณ์ที่ "เห็นด้วยตา" ตัวเองว่า อะไรใช่...อะไรไม่ใช่!
ผม สังเกตว่าพวกกบฏเขารู้ และฉลาดในการยืมมือสื่อสร้างความชอบธรรม ฉะนั้น บางอ่านอาจสงสัยว่าตอนกลางวันโล่งๆ ทำไมกองกำลังกบฏทักษิณจึงเผยตัวให้เห็นตอนยิงหนังสติ๊กบ้าง ตอนเข็นยางมาเผาบ้าง ตอนจุดพลุ-จุดตะไลบ้าง ที่ว่าอาวุธร้ายแรงก็แค่ทำระเบิดขวดให้นักข่าว-ช่างภาพบันทึกเป็นภาพไปเผย แพร่
ไม่เห็นมี "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" มือระเบิดเอ็ม ๗๙ มือเอ็ม ๑๖ มือดักสังหาร มือแม่นปืน อย่างที่พูดกันแต่อย่างใด?
นี่ไง...ที่ผมว่า ยุทธศาสตร์ทางสื่อที่พวกกบฏใช้ พวกกบฏจงใจแอคชั่น "ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ" มีเพียงหนังสติ๊กเป็นพื้นสู้กับฝ่ายทหารปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ ตามหน้าจอโทรทัศน์ ตามบรรทัดข่าวที่นักข่าวรายงานออกไป เพื่อสนับสนุนการปลิ้นปล้อนบนเวทีของแกนนำที่ว่า
ผู้ชุมนุมไม่มี อาวุธ-ไม่มีใครตาย, แต่ทหารมีปืน-ประชาชนตาย!
แต่พอมืดค่ำ มันดับไฟหมด เอาล่ะตานี้ มือระเบิด มือซุ่มยิง มือปืน เรียกว่าสารพัดอาวุธสงคราม โจรก่อการร้ายฝ่ายกบฏมันขนออกมาเป็น "มือฆ่ามุมตึก" ทั้งยิงใส่ ทั้งปาระเบิด ทั้งเผา เรียกว่าฆ่าไม่เลือกหน้า พวกทหาร หรือพวกชาวบ้าน "ขอให้ตาย" ถือว่าสะใจกูแล้ว
นั่นคือ ผู้บาดเจ็บและตาย ส่วนหนึ่งมาจาก "มือฆ่ามุมตึก" อันยากที่ช่างภาพ-ช่างกล้องจะจับภาพมาให้เห็นชัดๆ เหมือน "ยิงหนังสติ๊ก" ตอนกลางวันได้ แต่ในข้อเท็จจริงอันเป็นที่ประจักษ์ นักข่าวในภาคสนาม รับรู้ได้ด้วยตา ด้วยวิญญาณนักข่าวถึง "มือฆ่า" ที่อยู่ข้างหลังของมือหนังสติ๊ก!
สมมุติว่ารัฐบาล-ทหารกระหายเลือด จงใจฆ่าคนเผาบ้าน-ทำลายเมืองจริงๆ แล้ว ๗ วัน มีคนตาย ๓๖ คน บาดเจ็บกว่า ๒๐๐ คน ต้องไล่ออกทั้งกองทัพ เพราะแสดงว่าฝีมือและสมรรถภาพห่วยมาก แต่ในข้อเท็จจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ที่ตาย-เจ็บแค่นั้น เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะแสดงชัดว่า
ทหาร-หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ-ล้มตายจนถึงที่สุดแล้ว!
มิคสัญญี เมืองขนาดนี้ รัฐบาล-ทหาร ถนอมชีวิตคนเผาเมืองได้มากกว่าที่คาดว่าน่าจะสูญเสีย เราควรจะมองมุมนี้มากกว่าไปเพ่งเล็งในมุมลบ ถ้าจะเพ่งเล็ง ต้องไปดูเหตุการณ์ที่ตากใบ และที่กรือเซะ ทักษิณสั่งฆ่าทีเดียวร่วมร้อยศพ นั่นเป็นตัวเลขสูญเสียที่ประชาชนเห็นว่า...
ไม่มีเหตุผลที่ต้องสูญเสีย เลย!
หรืออย่างสงกรานต์ที นั่งนับศพกันได้ปีละ ๓๐๐-๔๐๐ ศพ ภายใน ๗ วัน ปีแล้ว-ปีเล่า "ตายนับร้อยทุกปี" แล้วตัวเลขมากมายขนาดนี้มีใครนำความสูญเสียรายปีมาเป็นต้นทุนแก้โจทย์บ้าง?
ฉะนั้น ตัวเลขไม่ใช่คำตอบของคำว่า..ใช่-ไม่ใช่ แต่ตัวเลขนั้นต้องดูว่า "สะท้อนถึงเหตุผล" เช่นใด!?
ผมก็อนุโมทนาที่วุฒิสมาชิกส่วนหนึ่งเป็น "ตัวตั้ง-ตัวตี" ประสานสงบศึก ความจริง แค่แกนนำสั่งสลายการชุมนุมทุกอย่างก็จบ ไม่ต้องไปเกี่ยงงอนให้ทหารเขาหยุดยิง หรือถอนกลับที่ตั้ง
เพราะปกติ ทหารเขาก็ไม่ยิงใครอยู่แล้ว ผิดกับพวกกบฏที่บ้าคลั่ง ดิบ-เถื่อน-โหด ทำร้ายประเทศ ทำลายชีวิตสังคมประชาชาติทั้งเมือง เผายาง-ปิดถนน-ค้นรถ-ค้นโรงพยาบาล-ฆ่ากระทั่งคนกาชาด-ปล้นสะดมร้านค้า-ทุบ ตู้เอทีเอ็ม ฯลฯ
นี่มันพฤติกรรมโจรก่อการร้าย "ปล้นบ้าน-เผาเมือง-ฆ่าประชาชน" มีโทษตาย-โทษตลอดชีวิตเกือบทั้งนั้น แล้วยังจะมีหน้าไปต่อรองให้รัฐบาล-ทหารเขา "หยุดทำหน้าที่" พิทักษ์บ้าน-ปกปักประชาชนอีกหรือ?
"สะพานข้ามเหวนรก" ที่ ส.ว.ทอดให้นั้น เป็นทางสุดท้ายแล้ว ถ้าบรรดา "กบฏฮาร์ดคอร์" ทั้งหลายยังไม่ยึดไว้เป็น "ทางหนีตาย" ผมเกรงว่าจะตายเอาจริงๆ เพราะจะเห็นว่า "รัฐบาล-ทหาร" ถอดเกียร์ถอยหลังทิ้งไปแล้ว พวกคุณมัน "โจรไม่มีสัจจะ" พูดจาเชื่อถือไม่ได้ ฉะนั้น ครั้งนี้กบฏต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
กบฏ-เสียมวล ชน.....
แล้วมีหรือ "รัฐบาล-ทหาร" จะอ่อนข้อ "จากได้" ให้กลายเป็นเสีย!

"ทักษิณ-บิน ลาดิน" หัวหน้าโจรก่อการร้าย?

By thaipost
Created 18 May 2553 - 00:00

ราตรีกาลยิ่งทอดยาว ยิ่งหนาวและฝันร้ายนะครับ ผมคิดว่า นี่ก็ย่างเข้าวันที่ ๖-๗ ของปฏิบัติการ "ศอฉ.ขอคืนพื้นที่" จากพวกกบฏทักษิณแล้ว ฉะนั้น ไม่น่าจะปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนานเกิน วันนี้-พรุ่งนี้ ขืนปล่อยนานไป "ข่าวแต่งหน้า" ในโลกสื่อสาร จะทำให้ประชาคมโลกทิ้งน้ำหนักไปทางกบฏทักษิณ ด้วยมุมมองว่า "ประชาชนน่าจะหนุนกลุ่มกบฏมากกว่าสนับสนุนรัฐบาล" ทหารจึงเอาไม่อยู่
การขีดเส้นตายของ ศอฉ.นั้น-ขีดได้ แต่ขีดจนเปรอะ แล้วไม่มีผลอะไร ระวัง...มันจะกลายเป็น "เส้นตายตัวเอง"!
อย่าว่าแต่ ประชาคมโลกเลยครับ ประชาคมไทยก็เถอะ ขืนลากสถานการณ์นานไป คนจะหน่าย อึดอัด และพาลเกลียดรัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ ที่เอาเข้าจริงก็ช่วยอะไรไม่ได้อย่างที่ใจเคยหวัง แล้วลงท้าย ความคิดสังคมก็จะตีกลับเชิงประชด
"เมื่อปราบไม่ได้ ก็ยกประเทศให้ฝ่ายกบฏทักษิณไปก็หมดเรื่อง บ้านเมืองจะได้สงบเสียที!"
ผม สะท้อนความรู้สึกของคนระดับชาวบ้านที่สื่อสารถึงผม ให้รัฐบาลและ ศอฉ.ได้ทราบ ส่วนตัวผมนั้น ก็เข้าใจในความยาก-ง่าย และขีดจำกัดหลายๆ อย่างในการทำงาน แต่จะยกเหตุนั้นไปอ้างกับชาวบ้านเขา มันก็อ้างได้ แต่จะให้เขาเข้าใจนั้น...มันยาก เพราะชาวบ้านตกอยู่ใน "สถานการณ์นรก" ด้วยตัวเขาเองจริงๆ
ก็ขอให้การเจรจาของฝ่ายรัฐกับฝ่ายกบฏที่ทำกันทั้ง ลับ-ทั้งแจ้งมาหลายวัน "ลงตัว" เสียที ยอม-ก็สลายม็อบกันไปเลย แต่ถ้าไม่ยอมจะปล่อยให้โยกโย้ "ซื้อเวลา" สะสมคนเจ็บ-คนตายเป็นสถิติไปทีละวันอย่างนี้ไม่ได้
ทหาร-ตำรวจ ควรเข้าสลายทันที!
สถานการณ์ถึงตอนนี้ ในภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า "เสียจนไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว" ฉะนั้น จะมารีรออะไร เสีย-เมื่อแลกกับได้ที่ไม่เยิ่นเย้อ มันก็พอคุ้มมิใช่หรือ?
ที่ว่าเสีย นั้น ไม่ใช่พวกกบฏ หรือตัวหัวหน้ากบฏที่นั่งกระดิกตีน "ต่อสาย-สั่งการ" มาจากมอนเตเนโกรบ้าง ดูไบบ้างที่เสีย แต่เป็น "ประเทศไทย-คนไทย" ตะหาก ประเทศป่นปี้ หัวใจถูกย่ำยีแหลกสลาย นับต่อแต่นี้ไทยจะเป็นไทยที่...ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
สังเกตดูเถอะ แต่ละมุก-แต่ละเม็ดในการต่อรองของพวกกบฏ ถูกกำหนดและสั่งมาจากนายใหญ่ทั้งสิ้น อย่างที่เดินเกม-เดินแต้มประสานกันล่าสุดตอนนี้ ทั้งคนกบฏ ทั้งพรรคกบฏ และทั้งนักวิชาการกบฏ เดินไปในแผนเดียว-จุดเดียวกัน คือ
ดึง UN ให้เป็นเจ้าเข้าครองประเทศ!
UN ที่ทักษิณเคยบอกว่า "ไม่ใช่พ่อ" นั่นแหละ แต่ตอนนี้ นับถือเป็นพ่อขึ้นมาแล้ว สั่งให้จตุพร-ณัฐวุฒิ ปากแข็ง-ตูดนิ่มยืนกรานกับฝ่ายรัฐบาลอยู่นั่นแหละว่า "ยอมเจรจา แต่ว่าต้องให้ UN เข้ามาเป็นคนกลาง"
ไอ้คนอย่างนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ใครซื้อก็พร้อมขาย ก็ดูซี...ขนาดประเทศชาติแท้ๆ เพื่อตัวมัน มันบังอาจ ไม่ละอาย เอาประเทศไปขายให้ UN หน้าตาเฉย!
ไอ้แผนดึง UN เข้ามา ก็คงจากคำแนะนำพวกบริษัททนาย บริษัทที่ปรึกษาทักษิณในต่างประเทศนั่นแหละ เป็นการเบิกช่องทาง-สร้างเงื่อนไขเพื่อการต่อสู้คดี เพราะมีแต่ช่อง UN ช่องเดียวเท่านั้นที่โลกใบนี้จะเหลือ "รูลอด" ให้ทักษิณได้ซุกหัวอยู่ เนื่องจากยุค "สื่อสารครองโลก" ขณะนี้ เจ้าระบบสื่อสารที่ตัวเองใช้เป็นเครื่องมือทำลายประเทศชาตินั่นแหละ มันกำลังย้อนสนองตัวเอง
ทักษิณ ชินวัตร สู่ระดับ บิน ลาดิน แล้ว!
ก็ ด้วยจาก "สื่อสารครองโลก" เหตุการณ์ที่เกิด คำพูดผ่านวิดีโอลิงค์-โฟนอิน และคำให้การสมุนในเมืองไทย โดยเฉพาะจากเสธ.แดง ระบบสื่อสาร มันทำให้คนดู-คนฟัง ประมวลเรื่องและรวบรวมให้เห็นภาพได้ว่า
ทักษิณนั่น แหละ "หัวหน้าก่อการร้ายในไทย"!?
ที่ยกตัวเองไปเทียบ เนลสัน แมนเดลา บ้าง มหาตมะ คานธี บ้างนั้น คนทั้งโลกฟังแล้วหัวเราะ และ...ถุ้ย!
ลอง เรียบเรียงดู หลังเหตุการณ์กบฏแผ่นดิน มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซุ่มสังหารนายทหาร วินาศกรรมเมือง กระทั่งยิงเอ็ม ๗๙ หวังระเบิดคลังน้ำมัน
ล่าสุด จากปากของ "พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล" ที่ประกาศเมื่อ ๙-๑๐ พ.ค.ก่อนถูก "มือลึกลับ" ใกล้ตัว ประกบจ่อยิงศีรษะเสียชีวิตทิ้งปริศนา "ใครสั่งฆ่า" คนไกล...หรือใกล้ตัว
เส ธ.แดงประกาศ ไม่เอาแผนปรอง ค้านวีระเจรจาสลายชุมนุมกับรัฐบาล แล้วตัวเองประกาศ ประสานแกนนำกบฏในต่างจังหวัด จะยึดเวทีเป็นหัวหน้าแกนนำชุมนุมต่อ
....ผมรับคำสั่งตรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว!?
บทบาทคลุมเครือเสธ.แดงที่ให้ภาพพัวพันทั้ง "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" และทั้งภาพเปิดเผย "หัวหน้าการ์ด นปช." รวมถึงผู้ฝึกสอนกองกำลังทหารเสือพระเจ้าตาก ในรอบ ๒-๓ ปี เมื่อถูกประชาคมโลกนำแต่ละภาพมาเป็นจิ๊กซอว์ ก็พอดีมาบรรจบกับคำสารภาพสุดท้ายของเสธ.แดงเองว่า "ทำงานรับคำสั่งตรงจากทักษิณ"
ภาพ "ทักษิณ-หัวหน้าก่อการร้าย" ที่ชักใยปฏิบัติการอยู่ในเมืองไทย...ชัดเป๊ะ!
ยิ่ง ศอฉ.ออกมาประกาศว่า เหตุการณ์ในเมืองไทยประจักษ์ชัดว่ามี "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" คละเคล้าอยู่กับผู้ชุมนุมสันติ-อหิงสาจริง และการก่อวินาศกรรม การซุ่มสังหารนายทหาร การวินาศกรรม และปฏิบัติการต่อต้านกำลังรัฐ นี่..มันครบ "องค์ประกอบ" ของการเป็นปฏิบัติการ "ผู้ก่อการร้าย" ชัดแจ้ง!
และ นั่นก็คือ "ทักษิณ-หัวหน้าก่อการร้าย" เทียบชั้น บิน ลาดิน แต่ชั้นเลวกว่า บิน ลาดิน ก็ตรงที่ บิน ลาดิน ทำลายที่อื่น-คนอื่น-ประเทศอื่น ไม่ทำลาย และไม่ทำร้ายประเทศตัวเอง พี่น้องร่วมชาติตัวเอง ซึ่งเป็นหน้ามือกับหลังเท้า เพราะ....
ทักษิณ...ทำทุกอย่างที่ "บิน ลาดิน" ไม่ทำกับชาติของเขา!
ด้วยภาพ "หัวหน้าขบวนการก่อการร้าย-ชั้นเลว" ของทักษิณ อันประจักษ์ต่อชาวโลกเวลานี้ จึงทำให้พื้นที่ในการหยั่งเท้าของทักษิณเหลือน้อยเต็มทน และเท่าที่มีให้ยืน ก็ต้องยืนแบบเขย่งเท้า-แขม่วท้อง ถูกห้ามใช้พื้นที่ประเทศนั้นๆ เป็น "ฐานบัญชาการ" ก่อการร้ายข้ามชาติ
การ ให้พรรคเพื่อไทย ส.ส.เพื่อไทย และแกนนำกบฏ ประสานเสียง-ชูประเด็น ให้ UN เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศ ก็คือแผนการดึง UN มาเป็นขอนไม้ให้เกาะเท่านั้น เมื่อเหลือตาเดินไม่มาก ตัวเองก็...หางโผล่ โดยให้บริษัทที่ปรึกษากฎหมายในต่างประเทศออกแถลงการณ์ "ประสานเสียง" กับกลุ่มกบฏเมื่อวานนี้ (๑๗ พ.ค.๕๓) มีข้อความว่า
"ผมขอเรียกร้องให้สห ประชาชาติเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจาในทันที สหประชาชาติไม่ควรถูกกดดันให้นิ่งเฉย โดยนายกรัฐมนตรีที่ไม่เข้าใจว่าสิทธิในการมีชีวิตอยู่เป็นหลักสากลที่ทำให้ พวกเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน"
ความจริงน่ะ ถ้าทักษิณต้องการร้องขอความช่วยเหลือกับองค์กรระหว่างประเทศ ด้วยความหวังดีกับคนไทย-ประเทศไทยจริงๆ ละก็ ควรไปร้องกับ "มูลนิธิแก้ไขปัญหาโลกร้อน" จะถูกที่-ถูกทางมากกว่า เพราะสิ่งที่พวกกบฏทักษิณทำขณะนี้คือการเผายางรถยนต์ นั้น มันสร้างควันดำเป็นมลพิษคลุมโลกมา ๓-๔ วันแล้ว
ผมไม่เข้าใจ พวก ส.ส.-ส.ว. พวกนักวิชาการบางคน กระทั่งพวก "ผีผสมแดก" ในพรรคร่วมบางพรรคก็ดี เรียกร้องแต่ว่า รัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ อย่าใช้ความรุนแรง ให้รัฐบาลใช้วิธีเจรจา กระทั่งว่า ให้รัฐบาลยุบสภา-ลาออกไปเลย แล้วปัญหาจะจบ
ทำไมไม่มองถึงต้นเหตุล่ะว่า ใครคือตัวสร้างปัญหา และใครคือฝ่ายใช้ความรุนแรง และทำไมไม่พูด-ไม่บอกล่ะว่า "ต้นปัญหาคือพวกกบฏนั่นแหละ ควรสลายการชุมนุมที่เกินกรอบกฎหมาย สั่งให้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายหยุดเผาเมือง แล้วมานั่งโต๊ะเจรจากับรัฐบาลที่เขารออยู่?"
จากข้อมูลข่าวสาร เบื้องหน้า-เบื้องหลัง และเบื้องลับ ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่ค่อยๆ ไหลออกสู่สาธารณะในยุค "สื่อสารครองโลก" ขณะนี้ มันยิ่งสนับสนุนความคลางแคลงสงสัยที่ซ่อนอยู่ในใจสังคมมานานให้ชัดขึ้นว่า ในขบวนการก่อการร้าย อันมีคำว่า "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" เป็นตัวลงมือนั้น
รูป แบบปฏิบัติการมันฟ้องว่า นี่คือการสนธิกันระหว่าง "ตำรวจ-ทหารในราชการ กับ ตำรวจ-ทหารนอกราชการ" กลุ่มหนึ่ง!?
จะกลุ่มไหน-ใครเป็นใคร น่าจะไปค้น "คำสั่ง ศอฉ." ที่ ๔๙/๒๕๕๓ ที่ออกเมื่อวันที่ ๑๖ พ.ค.เรื่อง "ตัดท่อน้ำเลี้ยง" สั่ง ๑๐๖ คน ต้องรายงานการทำธุรกรรมทางการเงินมาดูว่า...มีใครบ้าง?
และที่ควรสังเกต ไว้ คำสั่ง "ตัดท่อน้ำเลี้ยงกบฏ" คำสั่งนี้ คนที่ลงนามท้ายคำสั่งคือ..."พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา" หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน!!!!!
ครับ...ต้องถือว่า เป็นคำสั่งที่กรวดน้ำคว่ำขัน "ผีไม่เผา-เงาไม่เหยียบ" ตัดเป็นตัดตายกันไปเด็ดขาด ระหว่างเส้นทางสาย "ทักษิณ" กับเส้นทางสาย "อนุพงษ์"
จะพูดว่า นี่คือการชี้ขาด "ชีวิตทหาร-ชีวิตการเมือง-ชีวิตคนแก่หลังเกษียณ" ว่า พลเอกอนุพงษ์ ตัดสินใจเลือก "ทางไหน-เป็นทางเดิน" หลังเดือนกันยายน ๒๕๕๓ เป็นต้นไป นี่มันก็....ชัดเจนแล้ว!
"หลังเสือ" จำต้องเป็นที่อยู่ "หลังเกษียณ" ของพลเอกอนุพงษ์
"ยากหนี" เสียแล้ว!?

Sunday, May 16, 2010

แช่แข็งท่อน้ำเลี้ยง 106บัญชีห้ามทำธุรกรรม!/ซากศพ'ทรท.-แดง'เต็มพรึ่บ

By thaipost
Created 17 May 2553 - 00:00

ศอฉ.บี้ระบอบทักษิณ ตัดท่อน้ำ เลี้ยงม็อบแดง สั่งอายัดบัญชีเครือข่ายแม้ว ห้ามทำธุรกรรมทางการเงินทั้ง 93 บุคคล และ 13 นิติบุคคล เรียกข้อมูลจากสถาบันการเงินระหว่าง 1 ก.ย.52-17 ก.ย.53 สั่งรายงานในวันที่ 20 พ.ค. เปิดรายชื่อบิ๊กทั้งนั้น "ครอบครัวชินวัตร" โดนเรียบ อดีต ส.ส.ไทยรักไทยเป็นบัญชีหางว่าว "ยุทธตู้เย็น-เสี่ยเพ้ง-สันติ-เจ๊หน่อย-พงศ์ เทพ" พ่วงอดีตประธานวุฒิฯ "สุชิน"
ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีมาตการใหม่เพื่อให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงยุติลง ด้วยการสั่งระงับธุรกรรมทางการเงินของนิติบุคคลและบุคคลที่มีการตรวจสอบพบ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุม
นายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน แถลงข่าวว่า ศอฉ.ได้มีคำสั่งห้ามไม่ให้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคลหรือนิติบุคคลเท่าที่จำเป็นแก่การ รักษาความมั่นคงของรัฐ ตามที่นายกฯ ได้ประกาศที่มีความร้ายแรงแล้วยังมีพฤติกรรมของการก่อการร้าย มีการใช้กำลังประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกายและทรัพย์สิน และมีเหตุอันเชื่อได้ว่า มีการกระทำที่รุนแรงมีผลกระทบต่อความมั่นคง
เลขาธิการ สมช.บอกว่า อาศัยมาตรา 11 ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกอบกับคำสั่งนายกฯ เรื่องการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบ จึงมีคำสั่งห้ามมิให้สถาบันการเงินตามกฎหมาย ว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินธนาคารตามที่ได้มีการจัดตั้งขึ้น โดยเฉพาะบริษัทหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัยตามกฎหมายที่ว่าด้วยวินาศภัย
และสหกรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ นิติบุคคลที่อนุญาตให้ประกอบธุรกิจ เกี่ยวกับปัจจัยชำระเงินต่างประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยน เงิน นิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ทำนิติกรรม สัญญา หรือดำเนินการใดๆ ทางการเงินทางธุรกิจ หรือดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินกับบุคคลหรือนิติบุคคลตามบัญชีรายชื่อแนบ ท้ายคำสั่งนี้ มีรายชื่อบุคคลและนิติบุคคล 106 รายการ 13 รายการเป็นรายชื่อนิติบุคคล ส่วนที่เหลือนั้นเป็นรายชื่อของบุคคล
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ามีคนจะฝากเงิน 500 บาท จำเป็นต้องมาแจ้งให้ ศอฉ.ทราบด้วยหรือไม่ นายถวิลตอบว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น ส่วนเรื่องจำนวนเงินนั้นเป็นไปตามที่ กำหนด และการที่ดำเนินการทางธุรกรรมนั้นคนที่เป็นเจ้าของจะต้องมาแจ้งให้ทาง ศอฉ.รับทราบ
ถามว่า ที่มีประกาศออกมาแสดงว่ามีการตรวจสอบแล้วว่ามีเงินไหลเข้ามาจำนวนมากใช่หรือ ไม่ นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ตอบว่า เมื่อได้ข้อมูลจากสถาบันการเงินมาแล้ว ก็คงจะมีความชัดเจนมากกว่านี้ ขณะนี้ต้องรอดูรายงานสถาบันการเงินก่อน ซึ่งเวลาที่ ศอฉ.กำหนดไว้ก็คงจะไม่นานเกินไป เพราะเป็นการกำหนดในเรื่องของการทำธุรกรรมทางการเงินตั้งแต่ 1 ก.ย.52-17 ก.ย.53 โดยกำหนดให้ส่งรายงานในวันที่ 20 พ.ค.53 โดยจะส่งรายงานเข้า ศอฉ. ทั้งนี้จะมีการพิจารณาร่วมกันหลายหน่วยงาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มาตรการดังกล่าวถือเป็นการตัดเส้นทางการเงินหรือไม่ นาย ปณิธานกล่าวว่า ต้องดูก่อน เพราะมีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องและกระเทือนต่อความมั่นคงในการแก้ไข สถานการณ์ฉุกเฉิน จะมีหลายประเด็นที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เฉพาะกิจกรรมชุมนุมอย่างเดียวเท่า นั้น มันมีอีกหลายเรื่องที่จะเชื่อมโยงกับทางเครือข่าย โดยเรื่องที่อายัดจะเกี่ยวข้องกับความมั่นคง
สำหรับนิติบุคคล เกือบทั้งหมดเป็นบริษัทในเครือข่ายของตระกูลชินวัตร เช่น บริษัท ประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด, บริษัท เอส ซี เค เอสเทค จำกัด, บริษัท เอสซี ออฟฟิศ ปาร์ค จำกัด, บริษัท เอสซี ออฟฟิศ พลาซ่า จำกัด เป็นต้น
ส่วนบุคคลนั้นทั้งหมดคือคนในระบอบทักษิณ อาทิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ดามาพงศ์ หรือ ณ ป้อมเพชร, นายพานทองแท้ ชินวัตร, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร, น.ส.พินทองทา ชินวัตร, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์, นางกาญจนาภา หงษ์เหิน, นายชูชาติ หาญสวัสดิ์
นายการุณ โหสกุล, นายนพดล ปัทมะ, นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา, นายสันติ พร้อมพัฒน์, นายประชา ประสพดี, นายไชยา สะสมทรัพย์, นายยงยุทธ ติยะไพรัช, นายสุทิน คลังแสง, นายพายัพ ชินวัตร, พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก, นายสุชน ชาลีเครือ และนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็นต้น (รายละเอียดหน้า 4)
สำหรับอดีต ส.ส.ไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ซึ่งไม่ได้เป็นแกนนำ นปช.พบว่าส่วนใหญ่ต่างเดินทางมาที่เวทีราชประสงค์และที่ผ่านฟ้าฯ อย่างต่อเนื่องหลายวัน โดยหลายคนมีพฤติการณ์ชัดเจนว่าเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ในการเคลื่อนไหว ทั้งจัดหาตั้งเต็นท์เสื้อแดงจำนวนมากมาตั้งถาวรตลอดเส้นทางการชุมนุม ดูแลเรื่องการส่งอาหารมาให้ผู้ชุมนุม ออกค่าใช้จ่ายในการชุมนุม เช่น ค่าเวที ค่าน้ำมันในการขนคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุม ช่วยออกค่าใช้จ่ายในเรื่องเงินค่าจ้างให้กับการ์ด นปช.
ซึ่งคนสำคัญๆ ที่น่าสนใจก็เช่น นายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช ซึ่งรู้กันดีว่าได้รับมอบหมายจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เป็นคนดูแลเรื่องเงินทองและค่าใช้จ่ายต่างๆ ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งนายสาโรจน์ทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย จนมาถึงพลังประชาชนและเพื่อไทย เสมือนกับคนถือเงินของคนในตระกูลชินวัตร โดยนายสาโรจน์ได้มาปรากฏตัวที่หลังเวทีเสื้อแดงเกือบทุกวัน ทว่าระยะหลังหายหน้าไป ส่วนใหญ่จะอยู่ที่พรรคเพื่อไทยเป็นหลัก เพราะเป็นผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย
หรือ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ซึ่งก็เดินทางมาที่เวทีราชประสงค์ในช่วง 19.30 น.หลังทราบข่าวถูก ศอฉ.สั่งระงับการทำนิติกรรมทางการเงินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนนายสุชน ชา ลีเครือ อดีตประธานวุฒิสภา ก็เดินทางมาที่หลังเวทีหลายครั้ง แต่ไม่ได้ขึ้นเวทีปราศรัย ส่วนนายสงคราม เลิศกิจไพโรจน์ อดีต รมช.พาณิชย์ ก็เป็นเจ้าของห้างอิมพีเรียลเวิลด์ลาดพร้าว ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชนแนล
อย่างไรก็ตาม หลายคนก็พบว่าระยะหลังไม่ได้มีข่าวว่าติดต่อหรือให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทย หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่อย่างใด อาทิ นายพันธ์เลิศ ใบหยก เจ้าของห้างใบหยกสอง ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการชุมนุมครั้งนี้ ซึ่งระยะหลังไปเป็นนายทุนให้ พรรคเพื่อแผ่นดิน หรือนางพิมพา จันทร์ประสงค์ อดีต ส.ส.นนทบุรี ก็เปิดตัวชัดเจนว่าจะลงสมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย อีกทั้งปัจจุบันก็มีลูกชายเป็น ส.ส.นนทบุรี พรรคภูมิใจไทย อยู่ด้วย
ขณะที่กลุ่มเพื่อนร่วมเตรียมทหารรุ่น 10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูก ศอฉ.มีคำสั่งครั้งนี้ ที่น่าสนใจ คือ พล.ท.มนัส เปาริก อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 ปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย รวมถึง พล.ท.พฤณฑ์ สุวรรณทัต ส่วนนายประชัญ หรือ ฌอน บุญประคอง คือผู้ทำหน้าที่เป็นคนแปลการแถลงข่าวของแกนนำ นปช.ทุกครั้งเป็นภาษาอังกฤษให้กับสื่อต่างชาติ
ขณะที่บริษัทต่างๆ ที่ถูกคำสั่งดังกล่าวพบว่าล้วนเป็นบริษัทนิติบุคคลในเครือชินวัตร-ดามา พงศ์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและถือหุ้นอยู่ ที่เคยถูก คตส.อายัดทรัพย์ในคดียึดทรัพย์เกือบทั้งสิ้น.

“อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” ลั่นกลางเวทีนาฏราช พร้อมพลีชีพเพื่อพ่อ ใครไม่รัก “ในหลวง” ออกไป! (ชมคลิปวิดีโอ)

เสธ.แดงลาโลกแล้ว หลังแพทย์ระดมยื้อเต็มกำลัง 3 วัน

ประวัติ เสท. แดง

Friday, May 14, 2010

เชิญร่วมทอดผ้าป่าสามัคคีบูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์-สาธารณรัฐอินเดีย 28 พ.ค. 2553

ย้อนคดี ธัมมชโย ยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย อัยการตัดตอนถอนฟ้อง

แดงไม่ไป "อภิสิทธิ์-อนุพงษ์" ใครควรไป?

By thaipost
Created 12 May 2553 - 00:00

ผมได้รับกล่องกระดาษที่จัดทำประณีตจาก "ชมรมคนรักวัง" กล่องหนึ่ง วังในที่นี้คือ "พระราชวังพญาไท" ภายใน "โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ" ที่ไปเยี่ยมทหารบาดเจ็บกันมานั่นแหละ หน้ากล่องมีข้อความว่า "ท่านเจ้าคุณนรฯ สอนอะไร?" เปิดดูก็พบ "พระผงเจ้าคุณนรรัตนฯ" พร้อมข้อความ "กตัญญูกตเวทีเป็นรากแก้วของคนดี" และกระดาษพิมพ์รูปท่านพร้อมธรรมวจนะ "ทำดี ดีกว่าขอพร ใครทำกรรมดี ผลของความดีก็คุ้มครองอยู่แล้ว สิ่งอื่นนั้นไม่ใช่เนื้อแท้ของพุทธศาสนา"...ธมฺมวิตกฺโก
ผมห้อยเหรียญ "ท่านเจ้าคุณนรฯ" อยู่แล้ว เมื่อจู่ๆ ได้รับ "พระผงเจ้าคุณนรรัตนฯ" อีกตั้ง ๒ องค์ ก็ดีใจมาก พลิกดูเอกสารกำกับ ทราบว่า "ชมรมคนรักวัง" ได้นำมวลสารวัดเทพศิรินทราวาสที่ "สมเด็จพระญาณวโรดม" อดีตเจ้าอาวาสเก็บรวบรวมไว้กว่า ๕๐ ปีมาจัดพิมพ์ขึ้น
มวลสารมีทั้งเกศา จีวร และผงของท่านเจ้าคุณนรฯ พร้อมด้วยเกศา จีวร ของอริยสงฆ์อีกหลายรูป เช่น "หลวงปู่อำพัน" เป็นต้น และพุทธาภิเษกตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ พอดีปีนี้ "พระราชวังพญาไท" อันเป็นพระราชฐานที่ประทับถาวรของ "พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ ๖ ครบรอบ ๑๐๐ ปี
ทาง "ชมรมคนรักวัง" ก็นำพระผงรูปเหมือนท่านเจ้าคุณนรฯ ออกเผยแพร่ เข้าใจว่าเจตนาเพื่อหาทุนสมทบ "มูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไท" ที่กำลังคืนอดีตสู่ปัจจุบันด้วยการซ่อมแซมสู่ดังเดิม นอกจากเป็นการอนุรักษ์แล้ว ยังเพื่อการท่องเที่ยว และการศึกษาในรูปแบบพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ด้วย
วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓ นี้ จะมีการบำเพ็ญพระกุศล ณ พระที่นั่งพิมานจักรี พระราชวังพญาไท ในวาระครบ ๑๐๐ ปี แต่ผมเห็นว่าเป็นโอกาสดี เพราะปัจจุบันนี้ยากยิ่งที่จะได้ "พระผงรูปเหมือนท่านเจ้าคุณนรฯ" ไว้เป็นมงคลชีวิต เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนจิตถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ
ไม่ มีการแจ้งรายละเอียดเพื่อการนี้ แต่คาดว่าหลายท่านสนใจจึงนำมาบอก ลองสอบถามไปที่ "ชมรมคนรักวัง" ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ นั่นแหละ หรือโทร.เบอร์ ๐-๒๓๕๔-๗๗๓๒ และเบอร์ ๐-๒๒๕๔-๗๙๘๗ สอบถามดู จะมอบให้ หรือสำหรับสมนาคุณท่านที่สมทบทุนซ่อมแซมพระราชวัง ก็จะได้ทราบกัน
"ท่าน เจ้าคุณนรฯ" คืออดีตผู้ถวายการรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท "พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ ๖ เป็นทั้งองคมนตรี และที่ปรึกษาราชการในส่วนพระองค์ หลังจากล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ สวรรคตแล้ว ด้วยความจงรักภักดีสูงสุด ท่านเจ้าคุณนรฯ หยิบหญ้าแพรกมาเคี้ยว แล้วประกาศว่า
"เมื่อสิ้นในหลวงแล้วจะไม่ง้อใคร กินหญ้าก็ไม่ตาย"
จาก นั้นท่านก็ไปบวชอยู่วัดเทพศิรินทราวาส คร่ำเคร่งปฏิบัติธรรมอยู่ ๔๕ พรรษา "อาจารย์ดวงใจ ภรณวลัย" หมอดูไพ่ยิปซีที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร "๑ เดียวในประเทศไทย" เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ แม่พาไปดักอยู่ข้างกุฏิ รอเวลาท่านออกจากกุฏิไปลงพระอุโบสถ คนเยอะแยะ รอกราบท่านอย่างเดียวเท่านั้น
ท่าน ไม่ยุ่ง ไม่สุงสิง ไม่คละเคล้ากับหมู่ญาติโยมคนไหน วันๆ ปิดกุฏิบำเพ็ญสมณธรรม จะเปิดออกมาก็ตอนเดินไปลงโบสถ์ทำวัตรเช้า-เย็นเท่านั้น จนเป็นที่กล่าวขานในหมู่อริยสงฆ์ว่าท่านเป็น "พระอรหันต์ในเมืองกรุง" และมรณภาพเมื่อ ๘ ธ.ค.๑๔
อาจารย์ดวงใจคุยอวดด้วยว่า "เป็นคนเดียวที่ท่านเจ้าคุณนรฯ กรอกน้ำมนต์ให้" จากนั้น พอโตขึ้นจะไปทำธุรกิจอาชีพอะไรก็ดูไม่ลงตัวซักอย่าง นอกจากนั่งพูด..พูด..พูด..อย่างเดียวทั้งวัน จนทุกวันนี้ งานคือ "การนั่งพูด" ทั้งวันเหมือนเดิม เพียงแต่จำกัดคน-จำกัดเวลาลงหน่อย เพราะจะ ๘๐ ปีแล้ว!
ก็พูดผ่านการ "เปิดไพ่" บอกลายแทงชีวิตนั่นแหละ!
เอ้า..คุย แล้วก็ยาว เดี๋ยวจะไม่เหลือเนื้อที่ "คุยเรื่องเครียด" ประจำวัน ในที่สุดก็เป็นอย่างที่คนส่วนใหญ่คาดคือ แกนนำกบฏ "เบี้ยว" อีกตามเคย เปลี่ยนจาก "คนเลี้ยงควาย" ไปเป็น "เด็กเลี้ยงแกะ" แหม...ทำขึงขังเหมือนดาราใหญ่เข้าฉาก ประกาศเข้าสู่กระบวนการปรองดอง
"สุ เทพไปมอบตัววันไหน กลับบ้านวันนั้น"!
สุเทพก็เชื่องและเชื่อง่ายดีเหลือ เกิน อยากจะให้พวกเสื้อแดงเลิกชุมนุมกลับบ้านกันไปเสียที ขมีขมันไปรายงานตัวที่ DSI ตั้งแต่ผมยังไม่ตื่น แต่ลงท้ายพวกแกนนำกบฏแดงถลกตูดให้ ทำเฉไฉ อ้างอย่างโน้น-อย่างนี้ สรุปง่ายๆ ว่า...พวกข้าจะชุมนุม "ยึดราชประสงค์" อยู่ต่อโว้ย!
"อย่าเอาใจวิญญูชน ไปวัดใจโจร" มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แถลงการณ์เป็นตุ-เป็นตะ ไม่เพียงรับรู้เฉพาะในเมืองไทย คนทั้งโลกที่ติดตามสถานการณ์เขาก็รู้ว่า "กบฏทักษิณประกาศยอมปรองดอง เลิกชุมนุมแล้ว"
แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น จากราชสีห์สะบัดแผงคอเย็นวาน กลายเป็นหมาขี้เรื้อนสะบัดหางไปซะงั้น!?
ฝ่าย รัฐบาลเขาไม่เสียหรอกนะ เพราะเขาอดทน อดกลั้นอยู่ในถังเกลือ พยายามใช้การประนีประนอมแทนการปราบปรามด้วยกำลังจนถูกด่า และถูกชมขรมไปหมดแล้ว แต่ฝ่ายกบฏนั่นแหละมีแต่เสีย จนถึงขั้นบูด-เน่าเหม็น
โจร ตระบัดสัตย์นั่นไม่แปลก แต่การทำเช่นนี้ ทำให้สิ่งที่คลุมเครือเด่นชัดในความจริงขึ้นว่า ที่แท้ เจตนาชุมนุมนั้น ไม่ใช่เรียกร้องประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลสนองตอบให้แล้ว ตัวเองกลับเตะทิ้ง
มัน ก็ "หางโผล่" ในเชิงตรรกะซีว่า ชุมนุมสันติ-อหิงสา กับพวกโจรก่อการร้าย...ที่แท้...มันก็พวกเดียว-กลุ่มเดียวกัน!
เจตนากบฏ บ้าน-กบฏเมือง หวัง "ล้มสถาบัน-เปลี่ยนระบอบ" ด้วยกัน!!
ถึงวันนี้ด้วย การกระทำตัวเอง ฉากหน้าที่ฉาบทาว่า ชุมนุมสันติ-อหิงสา มาเรียกร้องประชาธิปไตย นั้น มันหลุดลอกเห็นลายแท้และดั้งเดิมแล้ว มันเป็นความเสียหายที่จะนำมาซึ่ง "ผลร้าย" กับตัวเองโดยตรง ชาวบ้านที่มาชุมนุมด้วยบริสุทธิ์ใจ จากที่คลางแคลงใจ ตอนนี้เชื่อเลยว่า
"ถูก หลอกมาเป็นเครื่องมือโจรล้มชาติ-ล้มสถาบันจริงๆ"!
แรกๆ ชาวโลกรู้ฉาบฉวยด้วย "เท็จเป็นจริง" จากฝ่ายแดงที่ปั้นแต่งขึ้นบ้าง จากบริษัทสื่อในต่างประเทศที่ทักษิณจ้าง "ปั้นความจริงเทียม" ออกเผยแพร่ผ่านสื่อทุกระบบบ้าง แต่เมื่อชาวโลกเห็นชัดๆ คาตา-คาหู จากภาพ-ข่าวเหตุการณ์สดๆ โม่งดำฆ่าทหารเมื่อคืนวันที่ ๑๐ เมษาก็ดี บึ้มสีลมฆ่าประชาชนก็ดี ซุ่มยิงทหารที่วิภาวดีรังสิตก็ดี บุกโรงพยาบาลจุฬาฯ และสภากาชาดไทย จนต้องปิดโรงพยาบาล ย้ายคนไข้ก็ดี
นี่ มันการกระทำของขบวนการ "โจรก่อการร้าย ๑๐๐%"!
แล้วตัวเองบอก "เลิกชุมนุม" เข้าสู่กระบวนการปรองดองตอนเย็น แต่พอรุ่งขึ้นเช้าบอก...ไม่เลิก แล้ว...ชุมนุมต่อ ก็เลยชัด เป็นที่สิ้นสงสัยด้วยประการทั้งปวงว่า....อหิงสากับมือฆ่า-มือปาระเบิดคือ "โจรก่อการร้าย" กลุ่มเดียวกัน
เมื่อเป็น "โจรก่อการร้าย" ยึดชัยภูมิกลางกรุงตั้งค่าย-ตั้งแคมป์ปฏิบัติการ จึงไม่มีปัญหาอะไรที่ "ตำรวจ-ทหาร" จะใช้กำลังและอาวุธเข้าปราบปรามให้สิ้นซาก!
แต่ที่ไม่มี การใช้อำนาจทางกฎหมายเข้าจัดการให้เด็ดขาด เขาพูดกันว่า ๑.ตำรวจ-ทหาร "บางส่วน" เป็นใจ ๒.สั่งแล้ว แต่บิ๊กกองทัพ-บิ๊กตำรวจไม่ขยับ-เขยื้อน ๓.ทั้งรัฐบาลและสังคมโลกไม่ต้องการให้ใช้ความรุนแรง ๔.สลายการชุมนุมเกรงชาวบ้านจะล้มตาย ๕.ตำรวจ-ทหารกลัวปะทะ เพราะเชื่อว่าในวงชุมนุมซุกซ่อนอาวุธร้ายแรงไว้เยอะ และ
๖.ขณะนี้ รัฐบาลเป็น "รัฐบาลที่ล้มเหลว" เนื่องจาก "สูญเสียอำนาจบริหาร-สั่งการไปแล้ว"!?
นี่คือสิ่งที่เขานินทากันอยู่ ฉะนั้น ตอนนี้ ฝ่ายกบฏ-ถือว่าเสียความชอบธรรมในการชุมนุมทั้งปวงแล้ว และฝ่ายรัฐบาล โดย ศอฉ.มีความชอบธรรม ๑๐๐% ในการปราบปรามโจรก่อการร้ายแล้ว
เพื่อ พิสูจน์และลบคำนินทา ข้อครหาทั้งปวง รัฐบาลโดย ศอฉ.มีเวลา "ช้าที่สุด" ถึงวันเสาร์ที่ ๑๕ พฤษภานี้เท่านั้น ที่จะ...
- พิสูจน์ให้รู้ชัดว่า "รัฐบาลไม่ล้มเหลว ยังมีอำนาจบริหาร-สั่งการอยู่ในมือ"
- พิสูจน์ให้รู้ชัดว่า "กองโจรต้องไม่เหนือกว่ากองทัพ"
- พิสูจน์ให้รู้ชัดว่า "ตำรวจ-ทหาร เพื่อประชาชน" ไม่ใช่ "ตำรวจ-ทหาร เพื่อกองโจร"
ท่านนายกฯ ท่านโรดแม็พกะโจรก่อการร้ายได้ โรดแม็พกะสมาชิกรัฐสภาได้ แล้วท่านไม่คิดจะโรดแม็พกับประชาชน โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่กำลังหายใจแขม็บๆ บ้างหรือ การปรองดองกับประชาชนคือ ท่านต้องเลิกคลานเช็ดตูดให้โจรก่อการร้ายได้แล้ว
กองทัพ "ไม่กลัว" กองโจร แน่ ประชาชนเชื่อ
แต่ ผบ.กองทัพ กลัว ผบ.กองโจร หรือเปล่านั้น....ประชาชนสงสัย!?

"สนธิ" คืนพันธมิตรฯ สละเก้าอี้ ก.ม.ม. เสนอทางออกปฏิวัติ-ดึง ปชช. ปฏิรูปประเทศ

Monday, April 26, 2010

หนอนบ่อนไส้-ผู้นำใจไม่ถึง สาเหตุปราบกบฏเหลว!!

“ผ่าประเด็นร้อน”

ไม่น่าเชื่อว่าในท่ามกลางการสนับสนุนจากมวลชนแทบทุกฝ่ายที่ ตะโกนให้กำลังใจรัฐบาลโดยเฉพาะ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนเสียงแหบเสียงแห้งเร่งรัดจัดการกับกลุ่มม็อบเสื้อแดงของ ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเห็นว่าเป็นการชุมนุมที่เลยเถิดทำผิดกฏหมายอย่างร้ายแรง

หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตจากพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวในหลากหลายรูปแบบ พบว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่มีเป้าหมายแค่โค่นล้มรัฐบาลเท่านั้น แต่ไปไกลกว่าจนสุดขั้ว นั่นคือการสถาปนา “รัฐไทยใหม่” ซึ่ง จะกระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวสอดคล้องกันอย่างเป็นขบวนการ เพราะแม้แต่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงอย่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และล่าสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ยังระบุออกมาในทำนองเดียวกัน

แต่ที่น่าแปลกก็คือ ในเมื่อรับรู้อยู่เต็มอกว่าการเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดงที่กระทำตามคำ สั่งและตามอำนาจเงินของ ทักษิณ มีเป้าหมายเพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของชาติ อีกทั้งยังมีเสียงเรียกร้องจากประชาชนคนไทยทั่วประเทศที่รับรู้ข้อมูลให้ รัฐบาลรีบจัดการกับกบฏกลุ่มนี้โดยเร็วและเด็ดขาด ให้ใช้อำนาจตามกฏหมายก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป กลับกลายเป็นว่ายังถูกวางเฉย ยังมัวรีรอ ละล้าละลังไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง จนทำให้สังคมเกิดความอึดอัด และที่สำคัญทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มขึ้นทุกวัน

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากความเป็นจริงอีกด้านหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปฏิบัติการของ เจ้าหน้าที่ที่ล้มเหลวหลายครั้ง ที่เห็นได้ชัดก็คือการบุกเข้าจับกุมแกนนำหลายคนที่โรงแรมเอสซีปาร์คในเครือ ของ ทักษิณ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน หรือกรณีการปิดถนนตั้งด่านเถื่อนของคนเสื้อแดงที่กำลังแพร่ระบาดหลายจังหวัด เพื่อสกัดการเคลื่อนย้ายกำลังของเจ้าหน้าที่ สาเหตุสำคัญก็มาจากเรื่อง “หนอนบ่อนใส้” ที่คาบข่าวไปบอกนั่นเอง

สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาและถูกวิพากษ์ วิจารณ์อย่างหนักจากสังคมในขณะนี้ก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกระบุว่ามีจำนวนไม่น้อยทั้งระดับล่างไปจนถึงระดับสูง ต่างเข้าด้วยช่วยเหลือกลุ่มกบฏเสื้อแดง และ มีความเห็นอกเห็นใจ ทักษิณ ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน เช่นบางคนที่เป็นชั้นผู้น้อยมีครอบครัวมีวิถีชีวิตไม่ต่างจากชาวบ้านรากหญ้า ทั่วไป มีความชื่นชมในนโยบาย “แหกตา” ประชานิยม

ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งเคยได้รับประโยชน์จากเงินส่วนแบ่งจากโครงการหวย ได้รับการเลี้ยงดูจากระบอบทักษิณจนอ้วนพี จึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องแอบลุ้นหรือให้ความช่วยเหลือแบบลับๆตลอดเวลา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกนายตำรวจที่เติบโตมาภายใต้อำนาจของ ระบอบทักษิณ ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้งเพื่อนร่วมรุ่น ลูกน้องของเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนของเพื่อนที่ข้ามหัวคนอื่น ซื้อเก้าอี้ หรือได้ประโยชน์ในยุคนั้นมาอย่างเต็มที่ คนพวกนี้จึงยังคอยรับใช้ คอยเป็นสายลับ คอยส่งข่าวสอดแนมอยู่ตลอดเวลา

ในวงการทหารก็มีจำนวนไม่น้อยที่มีลักษณะไม่ต่างกัน เพราะหลังจากที่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่กลุ่มอำนาจเดิมในกองทัพต่างถูกเตะ โด่งออกไป ดังนั้นคำพูดของแกนนำคนเสื้อแดงที่ระบุว่าเวลานี้ตำรวจ “มะเขือเทศ” และ “ทหารแตงโม” จึงไม่ใช่เรื่องที่ เกินเลยความจริง

อย่างไรก็ดี ในฐานะข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัว ทหารและตำรวจของพระเจ้าอยู่หัวที่มีการถวายสัตย์ฯ ว่าจะจงรักภักดีปกป้องชาติ และราชบัลลังก์ บรรดาข้าราชการเหล่านี้ก็น่าจะได้สำนึก และหันกลับสู่แนวทางปฏิบัติตามที่ควรจะเป็น เพราะรับรู้กันแล้วว่าเป้าหมายของ ทักษิณ และแกนนำคนเสื้อแดงกำลังดำเนินอยู่นั้นเพื่อล้มล้างสถาบันหลัก และนี่คือพฤติกรรมของกบฏชัดๆ

อีกส่วนหนึ่งที่ถือว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ พฤติกรรมของผู้นำทั้งผู้นำรัฐบาล และผู้นำกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะผู้รับผิดชอบในการใช้กำลังแก้ปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินที่ไม่ยอมบังคับ ใช้กฏหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืนให้เด็ดขาด แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเข้าใจดีว่าการใช้ความเด็ดขาดอาจก่อให้เกิดความสูญเสีย บ้าง แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติหรือที่เรียกว่าสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงนั้นเมื่อ ฝ่ายรัฐได้แต่ตั้งรับไม่ยอมดำเนินการใดๆ ให้เกิดความคืบหน้า หรืออย่างน้อยทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความเกรงกลัวจนเกิดความยับยั้งชั่งใจใน การกระทำที่ผิดกฏหมายหรือ ไม่สนับสนุนกับผู้ทำผิดกฏหมาย แต่นี่ตรงกันข้ามหลายครั้งกลับ “วางเฉย” ในทำนองปฏิเสธความรับผิดชอบเสียอีก

ดังนั้น หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรมส่วนตัวเป็นองค์ประกอบหลักแล้วสาเหตุ สำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤติของชาติบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่องส่วนสำคัญที่สุดก็ คือผู้นำที่ไม่มีความเด็ดขาด ใจไม่ถึง ไม่เคยสรุปบทเรียนที่แล้วมายนั่นเอง

แต่ในทางกลับกัน บางครั้งแม้จะรู้ทั้งรู้แต่ไม่ยอมลงมือ เนื่องจากเกรงเสียภาพลักษณ์ เกรงเสียงนินทา หรือกลัวว่าตัวเองมีความเสี่ยง สู้ประคองตัวไปวันๆ โดยไม่นำพาต่อความสูญเสียที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า คนประเภทนี้น่าจะอำมหิตยิ่งกว่า!!

ก๊กแดงสั่งสมุนทั่วประเทศขวางทหาร-ตำรวจส่งกำลังเสริมกรุงเทพฯหวั่นถูกสลาย

Monday, April 12, 2010

นายกฯ พร้อมจัดการผู้ก่อการรายแฝงแดง ยันรัฐ กองทัพ มีเอกภาพ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 เมษายน 2553 14:32 น.


“อภิสิทธิ์” รายงานสถานการณ์ผ่านทีวีพูล ชี้ เหตุ 10 เมษา ผู้ก่อการร้ายแฝงม็อบแดงก่อความไม่สงบ หวังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยันรัฐเตรียมมาตรการจัดการ วอนผู้บริสุทธิ์อย่าร่วม เผยคุยพรรคร่วมโอเค นำข้อเสนอเจรจาเสื้อแดงเร่งรัดเป็นทางออกชาติ ยัน กองทัพ พรรคร่วมยังมีเอกภาพรัฐ พร้อมตั้งกรรมการประมวลเหตุวิปโยค และเยียวยาทุกฝ่าย วอนประชาชนสนับสนุน


วันนี้ (12 เม.ย.) ที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ออกแถลงการณ์ ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ โดยเป็นการรายงานสถานการณ์ หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.ว่า ขณะนี้ประชาชนรู้ข่าวสารมากขึ้น และรับทราบเหตุการณ์ว่าเป็นอย่างไร โดยเริ่มเห็นผู้ก่อการร้าย ที่อาศัยผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเป็นเครื่องมือก่อความไม่สงบ เพื่อหวังให้เกิดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งรัฐเตรียมกำหนดมาตรการเพื่อมุ่งแยกผู้ก่อการร้ายให้ออกจากผู้บริสุทธิ์ และวอนผู้บริสุทธิ์อย่าเข้าร่วม และถ้าแยกแยะผู้ก่อการร้ายได้ชัดเจนแล้ว ก็จะกำหนดมาตรการในการดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป ส่วนปัญหาข้อเรียกร้องต่างๆ ทั้งเรื่องความไม่ยุติธรรม และปัญหาประชาธิปไตยนั้น ก็ต้องมีการแก้กันโดยฝ่ายการเมือง ซึ่งตนและพรรคร่วมรัฐบาล ก็จะนำเอาข้อเสนอที่เคยเสนอไว้ในการเจรจากับกลุ่มคนเสื้อแดง มาดำเนินการเร่งรัดเพื่อให้เป็นทางออก โดยการแก้ไขปัญหาทั้ง 2 ทางจะต้องคู่ขนานกัน ทั้งนี้ตนยืนยันว่า กองทัพและทางราชการ กับฝ่ายการเมือง ยังมีเอกภาพ เพื่อที่จะร่วมกันในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.นั้น ก็ต้องมีการรวบรวมเหตุการณ์ขึ้น รวมทั้งมีการตรวจสอบและการแสดงความรับผิดชอบ โดยทางรัฐได้ตั้งคณะกรรมการประมวลเหตุการณ์ และพร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ และการชี้แจงกับองค์กรอิสระ อาทิ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ขณะที่การเยียวยาในเหตุการณ์ รัฐก็จะให้ความเยียวยากับทุกฝ่ายและจะทำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งช่วยเหลือด้านความเสียหายกับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า รัฐบาลจะเดินหน้าสะสางสถานการณ์ให้เร็ว จึงขอให้ประชาชนสนับสนุนรัฐบาลเพื่อปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว

รายละเอียดคำแถลงของนายกรัฐมนตรี

"พี่น้องประชาชนที่เคารพรักครับ สำหรับการรายงานสถานการณ์และแนวทางการดำเนินงานของรัฐบาลต่อปัญหาสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ผมขอเรียนพี่น้องประชาชนครับว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน เป็นต้นมา ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพี่น้องประชาชนจะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้นโดยลำดับ ทำให้เห็นความชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับว่า เหตุการณ์ในวันนั้นมีลักษณะของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร

ผมขอเรียนครับว่า จากภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ เราเริ่มมองเห็นชัดเจนแล้วครับว่า มีบุคคลจำนวนหนึ่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ได้อาศัยการที่พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่มาชุมนุมเรียกร้องในเรื่องของประชาธิปไตย และปัญหาความไม่ยุติธรรมนั้น ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อก่อความไม่สงบให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง หวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงนี้ รัฐบาลและทุกหน่วยงาน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ และรวมถึง ศอฉ.นั้น จึงได้มีการกำหนดมาตรการในการที่จะดำเนินการต่อไป โดยมีความมุ่งหมายสำคัญที่สุด ก็คือการแยกแยะกลุ่มผู้ก่อการ้ายดังกล่าวออกจากประชาชนผู้บริสุทธิ์ เราอยากจะเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย อย่าได้เข้าร่วม หรือเป็นเครื่องมือของกระบวนการตรงนี้ และเมื่อเราสามารถที่จะแยกแยะได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก็จะสามารถในการที่จะกำหนดมาตรการในการดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป ในส่วนของการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน ในส่วนของปัญหาข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่เป็นข้อเรียกร้องในเรื่องของความ ไม่ยุติธรรม หรือประชาธิปไตยนั้น เป็นปัญหาที่ต้องแก้โดยฝ่ายการเมือง ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมโดยรัฐบาลและพรรคการเมืองที่ประกอบกันเป็นพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ได้มีการปรึกษาหารือกันอย่างต่อเนื่อง นำเอาข้อเสนอที่ผมได้เคยใช้ในการเจรจากับแกนนำ นปช.ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน มาดำเนินการในการเร่งรัด ในการปรับ เพื่อที่จะนำเสนอให้เป็นคำตอบทางออกสำหรับการแก้ปัญหาทางการเมืองต่อไป

การดำเนินการทั้งสองส่วนนี้ คือการบริหารแก้ไขสถานการณ์ที่จำเป็นจะต้องมีการแยกแยะให้ชัดเจนระหว่าง ประชาชนผู้บริสุทธิ์ กับบรรดากลุ่มผู้ก่อการร้าย และความไม่สงบทั้งหลาย กับการดำเนินการแก้ไขทางการเมืองนั้น จะต้องดำเนินการอย่างคู่ขนานกัน ซึ่งขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล กองทัพ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ตลอดจนพรรคการเมืองที่ประกอบกันเป็นพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ดำเนินการกันอย่างมีเอกภาพ มีความสอดคล้องต้องกัน เพื่อมุ่งมั่นไปสู่การแก้ไขปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นทั้งหมด

สำหรับกรณีเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายนนั้น แน่นอนครับจะต้องมีการประมวลเหตุการณ์ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และถ้ามีความชัดเจน ก็จะต้องมีการแสดงความรับผิดชอบ

การดำเนินการในส่วนนี้ รัฐบาลก็จะได้มีการดำเนินการในการตั้งคณะกรรมการประมวลเหตุการณ์ เช่นเดียวกับที่เคยได้ดำเนินการหลังจากเหตุการณ์ในเดือนเมษายนปีที่แล้ว และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับกระบวนการการตรวจสอบที่ดำเนินการโดยองค์กร ที่มีอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบโดยตรง และมีความเป็นอิสระ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน

ขณะเดียวกัน การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูญเสีย ผู้บาดเจ็บ ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใดนั้น ก็จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางเศรษฐกิจ กับบรรดาผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง

ผมขอเรียนกับพี่น้องประชาชนครับว่า รัฐบาลจะเดินหน้าสะสางปัญหาต่างๆ ตามแนวทางเหล่านี้อย่างรวดเร็วที่สุด และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่งในการให้การสนับสนุนรัฐบาล ในการดำเนินการตามแนวทางนี้ สวัสดีครับ"
แกนนำเสื้อแดงควรรับผิดชอบอะไรบ้าง ที่นำประชาชนมาตาย ดูวีดีโอประกอบจาก Manager Multimedia
โดย พันเอก ลพบุรี 12 เมษายน 2553 15:37 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาด ใหญ่ขึ้น



รายงาน...ภาพรอยเตอร์ชัดไอ้โม่งยิงทหาร

สถานการณ์ในปัจจุบัน ชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลกำลังต่อสู้กับกองโจรติดอาวุธที่แอบแฝงในกลุ่มผู้ชุมนุม โดยมีผู้ชุมนุมบางคนรู้เห็นเป็นใจด้วย ตามที่ปรากฎในภาพข่าวทางโทรทัศน์ (โจร คนหนึ่งใส่เสื้อความจริงวันนี้ อีกคนหมอบอยู่กับคนเสื้อแดง) โดยกลุ่มกองโจรดังกล่าว ได้นำเอาแผนการณ์ที่เคยใช้สำเร็จในเหตุการณ์รุนแรงเมื่อเดือนพฤษภาคม 35 มาใช้ในครั้งนี้ด้วย คือการยิงทหารโดยปะปนอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง และยิงทั้งทหารและประชาชนจากตึกสูง ทำให้สามารถยิง M.79 ถึง 2 นัดต่อเนื่องกันใส่ทหารระดับผู้บังคับบัญชาชั้นสูงบาดเจ็บสาหัสไป 2 คน (พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ. และ พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิ์เดช ผบ.พัน 2 ร.12 รอ.) ตายไปอีก 1 คน (พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม) บาดเจ็บอีกนับ 100 คน ผบ.ทบ.รู้สึกอะไรบ้างไหม?

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ แกนนำผู้ชุมนุมจะต้องออกมาร่วมรับผิดชอบด้วย ในการที่เคลื่อนไหวนำประชาชนออกมาตายขนาดนี้ และยังปล่อยให้มีกองโจรเข้ามาอยู่ในที่ชุมนุมร่วมกับเสื้อแดงยิงทหาร ไม่ใช่มานั่งร้องไห้ไม่มีน้ำตาต่อที่ชุมนุม วิธีที่แกนนำเสื้อแดงควรทำเพื่อ แสดงความรับผิดชอบ คือ การยุติการชุมนุมทันที ไม่ต้องสนใจคำสั่งของทักษิณ และเข้าร่วมกับรัฐบาล เพื่อสืบสวนแสวงหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่นำศพออกไปแห่ประจานเพื่อขยายความรุนแรงออก ไปอีก ซึ่งเป็นการกระทำเสมือนว่า แกนนำรู้เห็นเป็นใจกับกลุ่มกองโจร พยายามปิดบังข้อมูลต่างๆ เช่น การทำลายภาพถ่ายในกล้อง VDO ของนักข่าวรอยเตอร์ที่เสียชีวิตก่อนจะคืนกล้องให้ ในขณะที่ข่าวรอยเตอร์แจ้งว่า “กระสุนจริงออกมาจากฝ่ายผู้ชุมนุม”, การนำคนเสื้อแดงที่ร่วมสนับสนุนกลุ่มบุคคลชุดดำไปซ่อนตัว, การตัดต่อ VCD บิดเบือนข้อเท็จจริง, การนำอาวุธอื่นที่ทหารทิ้งไว้ไปซุกซ่อน ฯลฯ

ถ้าแกนนำไม่สลายการชุมนุม ก็เท่ากับว่า แกนนำยอมรับว่า เป็นผู้ที่สนับสนุนกองโจร ซึ่งแกนนำจะมีสภาพ “เป็นกบฏภายในพระราช อาณาจักร” ทันที ส่วนผู้ สนับสนุนก็จะมีฐานะไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย หรือ “บิ๊กจิ๋ว” ตัวดี

ส่วนทางฝ่ายรัฐบาลและทหาร ได้ทำดีในแนวทางสันติมาตลอด จนทำให้เกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกขึ้นว่า ประชาชนล้อมฆ่าทหาร ไม่ใช่ทหารเป็นฝ่ายฆ่าประชาชนเหมือนในอดีต ดังนั้นรัฐบาลจะต้องตระหนักถึง 2 เรื่องว่า การส่งทหารพร้อมกับกระสุนยางออกไปกดดันต่อคนเสื้อแดงนั้น เท่ากับส่งทหารออกไปตายชัดๆ และจะเป็นผลทำให้กลุ่มโจรเสื้อแดงหาโอกาสยิงประชาชนเพิ่มขึ้นอีก ส่วนคนเสื้อแดงที่ชุมนุม คือประชาชนธรรมดา ที่รู้ไม่เท่าทันเหตุการณ์ ตกเป็นเครื่องมือให้ออกไปตายแทนแกนนำ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องยึดถืออยู่เหมือนเดิมว่า เสื้อแดงที่ ชุมนุม คือประชาชนเหมือนกัน เหมือนกับที่รัฐบาลเคยทำมาแล้ว อย่าให้ความดีตรงนี้ศูนย์เสียไป แม้จะเจ็บปวดขนาดไหนก็ต้องทน ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ (1)การประกาศกฎอัยการศึก เป็นพื้นที่ อย่ายุบสภา เพราะจะทำให้สถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในชนบท ทักษิณ ต้องการทำลายสถาบันทุกอย่างของชาติไทยให้พังพินาศจนหมดสิ้นก่อนที่ตัว เองจะตายไป หรือต้องการเข้ามาเจรจากับรัฐบาลด้วยตนเองในประเทศไทย (2)เข้ายึดหรือยุติการสนับสนุนของบริษัทต่างๆ ที่ช่วยเหลือกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล, บริษัทแม็ชบอก มือตัดต่อ CD, มือหาคนมาเชียร์เสื้อแดง, บริษัทฮาวคัม ที่จัดหาจอโปรเจคเตอร์ เครื่องเสียง, เจ้าของรถสิบล้อ, เจ้าของเครนที่ตั้งอยู่ใน จ.สมุทรปราการ ฯลฯ (3)จับกุมตัวแกนนำตามหมายจับของศาลให้ได้ เหตุการณ์จะจบลงเอง ก่อนที่แกนนำเหล่านี้จะถูกทหารลอบสังหาร เพื่อแก้แค้นแทนลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งโอกาสมีสูงถึง 80% (4)เปิดเผยเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในวันที่ 10เม.ย.53 อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไทยเข้าใจว่าข้อเท็จจริงคืออะไร (5)สืบสวนขยายผลบนตึกสูงที่มีการลอบยิงว่าใครอนุญาติให้ขึ้นไป และมีใครขึ้นไปบ้าง, ขอตรวจสอบภาพของช่างภาพญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ ว่ากลุ่มเสื้อแดงลบภาพในกล้อง VCD ตอนไหนทิ้ง ก่อนคืนกล้องให้ ฯลฯ

สิ่งสำคัญ คือ การดำเนินงานมุ่งไปที่แกนนำโดยตรง อย่าสนใจกลุ่มประชาชนที่ชุมนุม โดยเฉพาะการตรวจสอบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของแกนนำผ่านคอมพิวเตอร์ จะเห็นชัดว่า มีการติดต่อกับใครบ้าง ทั้งในและนอกประเทศ บิ๊กจิ๋วติดต่อทักษิณกี่ครั้ง เอามาเปิดเผยให้ประชาชนทราบถึงเล่ห์กลเหล่านี้ให้ได้ ประการสำคัญ รัฐบาลต้องทำงานเป็นทีม มีคนมากมาย ทั้งนักการเมือง, นักวิชาการ ที่ต้องการเข้ามาช่วยรัฐบาล เปิดช่องให้เข้ามาหน่อย สำหรับสาธิตและศิริโชค อยู่นิ่งๆ สักพักหนึ่งจะดีมาก กรณีคนร้ายยิงตำรวจตาย คนร้ายก็ต้องตายเหมือนกัน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ทราบกันอยู่ทั่วไป กรณีคนร้ายยิงทหารตาย แกนนำเสื้อแดงก็ควรต้องเป็นผู้รับผิดชอบไม่แตกต่างกัน เงินกว่า 100 ล้าน ที่แกนนำได้มาก็จะช่วยอะไรไม่ได้ ระวังให้ดี ส.ห.จะเก็บไอ้เก่งก่อน เป็นคำทำนาย

ชัดมั้ย!! “ตู่” ไล่ “สุเมธ” กราบทูลฯ รัฐฆ่าแดง ขู่ “มาร์ค” อยู่ต้องตายไปข้าง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 เมษายน 2553 13:43 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาด ใหญ่ขึ้น
นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย


โรงน้ำแข็งราชประสงค์เร่งปั้นน้ำต่อเนื่อง!! “จตุพร” หากินกับเหยื่อ จวกรัฐทำเหตุการณ์เหมือน 6 ตุลา ปิดบังศพ เย้ยเก้าอี้ “มาร์ค” ร้อนเหมือนเมรุ พูดมั่วๆ โยงยุบสภา 3- 6 เดือน จะมีตายอีก 36 ศพ เหิมเกริม ไล่ “สุเมธ” กราบบังคมทูลในหลวง รัฐสังหารประชาชน ชี้ทหารตายสังเวยกรรมเมษา 51 ไล่ “กำธน” เตือน “ป๋า” ฐานตัวการ ลั่นถ้า “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ยังอยู่ ต้องตายไปข้างหนึ่ง

วันนี้ (12 เม.ย.) ที่สี่แยกราชประสงค์ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ตั้งแต่ช่วงเช้าค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนยังพักผ่อนกระจายอยู่โดยรอบบริเวณ ส่วนทางเข้าออกสถานที่ชุมนุมจุดต่างๆ ทั้งบริเวณสถานีไฟฟ้าบีทีเอส ราชดำริ ถนนราชดำริ บริเวณแยกเพลินจิต ถนนสุขุมวิท บริเวณแยกประตูน้ำ และด้านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระราม 1 มีการ์ด นปช.ประจำอยู่ตามจุดเพื่อเฝ้าระวังบุคคลที่จะผ่านเข้าออกตามปกติ สำหรับเส้นทางการจราจรได้เปิดเส้นทางสุขุมวิทขาออก ช่องทางซ้ายสุด เพื่อให้รถยนต์ผ่านเข้าไปยังถนนราชดำริได้

ส่วนบรรยากาศบนเวทีปราศรัย มีแกนนำ อาทิ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง สลับกันขึ้นเวทีปราศรัยพร้อมสรุปข่าวให้กลุ่มผู้ชุมนุมรับฟังเป็นระยะ โดย นพ.เหวง กล่าวโจมตีการกระทำของรัฐบาลที่สั่งให้ทหารปะทะกับประชาชนจนมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก พร้อมกับตอบโต้กรณีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้ยิงอาวุธปืนเอ็ม 79 ทำร้ายทหารว่า ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ดังนั้น สิ่งที่นายสุเทพจึงเป็นการกล่าวใส่ร้ายประชาชน

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง แถลงข่าวว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามที่จะทำให้เหมือนกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ด้วยการปิดบัง ซ่อนเร้นคนตาย ซึ่งคนเสื้อแดงคาดว่ายอดคนล้มตายน่าจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ และยังมีการขัดขวางไม่ให้เอาศพมาทำพิธีกรรม ซึ่งรัฐบาลนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีการนำอาวุธสงครามาปราบปรามประชาชน ทั้งที่รู้ว่าการปราบปรามประชาชนในช่วงมืดเป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการล้ม ตาย ส่วนการที่รัฐบาลใช้สื่อรัฐเบี่ยงเบนประเด็นว่าประชาชนที่ตายไปถูกมือที่ 3 การโกหกของนายอภิสิทธิ์ที่อยู่บนความตายของคนเสื้อแดงตอนนี้กว่า 16 ชีวิตแล้ว ทำให้เก้าอี้ของนายอภิสิทธิ์ร้อนเหมือนเมรุเผาศพที่ดวงวิญญาณของคนตายมาทวง ความยุติธรรม ทั้งนี้ ตนตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อมีการปราบปรามประชาชนจนมีการล้มตายก็มีการบอกว่าจะยุบสภาภายใน 3 เดือน 6 เดือน แสดงว่าข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่บอกให้ยุบสภาทันทีจะต้องแลกชีวิตคน เสื้อแดงอีก 36 ศพใช่หรือไม่

นายจตุพรกล่าวว่า ส่วนที่ นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการชัยพัฒนา ระบุว่า ตอนนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว แต่มีพ่อแม่คนไหนที่เห็นลูกตีกันแล้วมีความสุขนั้น ถ้านายสุเมธมีใจที่เที่ยงธรรม ก็อยากจะให้กลับไปกราบบังคมทูลฯ ข้อเท็จจริงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่ารัฐบาลเป็นผู้สังหารประชาชน เอาอาวุธสงครามมาฆ่าประชาชน และเวลานี้วิบากกรรมกำลังตกมาอยู่ที่คนสั่งการ เพราะทหารได้รับกรรมไปแล้วซึ่งเป็นคนที่สั่งฆ่าประชาชนช่วงเดือน เม.ย.2551 ที่ผ่านมา 2 คนเสียชีวิต อีก 1 คนต้องตัดขา ที่พูดไม่ได้สะใจ แต่อยากแสดงให้เห็นว่ากรรมมีจริง

นายจตุพรกล่าวต่อว่า ส่วนการที่ พล.อ.อ.กำธน สินธวานนท์ องคมนตรี ออกมาเตือนว่า คนไทยไม่ควรทำร้ายกันเอง สิ่งที่องคมนตรีควรจะไปเตือนคนแรก คือ พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพราะทุกชีวิตที่ตาย พล.อ.เปรมอยู่ในสถานะของตัวการ ขณะที่ นายสุเทพ และ ผบ.ทบ.แถลงว่า มีผู้ก่อการร้ายแฝงตัวเข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ผู้ก่อการร้าย ก็คือ ทหาร และหัวหน้าก่อการร้ายชื่อสุเทพ เทือกสุบรรณ ทั้งนี้ ถ้านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพยังยืนอยู่บนเก้าอี้นี้ต่อไปก็คงต้องสู้กันให้ ตายไปอีกข้างหนึ่ง เพราะตนคงไม่ยอมให้ประชาชนตายเปล่า ต้องมีคนรับผิดชอบและมีคนติดคุก

ย้อน รอยเอ็ม 79 ถล่มแยกคอกวัว ทหารหักทหาร...บูรพาพยัคฆ์อัสดง?

การสูญเสียนายทหารฝีมือดีอย่าง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม
รองเสนาธิการ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์(รองเสธ.พล.ร.2 รอ.)
ณ สมรภูมิสี่แยกคอกวัว สร้างความสลดใจไปทั่วในหมู่คนในเครื่องแบบสีเขียว

แต่ พ.อ.ร่มเกล้า ไม่ใช่นายทหารระดับสูงเพียงคนเดียวที่ตกเป็นเป้าสังหาร
เพราะยังมีนาย ทหารระดับนายพลอย่าง พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล ร.2 รอ.
ได้รับบาดเจ็บ จากสะเก็ดระเบิดเอ็ม 79 ถึงขั้นขาหัก 3 ท่อน และ
ระดับผู้พันอย่าง พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2
กรมทหารราบ ที่ 12 รักษาพระองค์ (ร.12 พัน 2 รอ.)
ถูกสะเก็ดระเบิดจนต้องผ่าตัดสมอง ด้วย

ที่น่าสนใจก็คือทั้งหมดเป็นนายทหารสาย "บูรพาพยัคฆ์"
จากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
ขณะที่พลทหารอีกจำนวนหนึ่งที่ เสียชีวิตก็สังกัดหน่วยทหารหน่วยนี้เช่นกัน

ปากคำทหารที่อยู่ในเหตุการณ์บอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า
ขณะเกิด มิคสัญญีที่สี่แยกคอกวัว พล.ต.วลิต ซึ่งออกมาบัญชาการภาคสนามด้วยตัวเอง
นั่ง ประชุมวางแผนอยู่บนฟุตบาทริมถนนตะนาวห่างจากสี่แยกคอกวัวไปทางตลาดบาง ลำพู
โดย มี พ.อ.ร่มเกล้า กับ พ.ท.เกรียงศักดิ์ ปฏิบัติหน้าที่อยู่ไม่ห่าง

จู่ๆ โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ก็มีลูกระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงมาจากที่สูงตกลงกลางวงนายทหารระดับสูง
ที่กำลังนั่งหารือสถานการณ์ และไม่ใช่แค่ลูกเดียว แต่เป็นการยิงถล่มถึง 2 ลูกซ้อน
เป็นเหตุให้ พล.ต.วลิต กับ พ.ท.เกรียงศักดิ์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วน พ.อ.ร่มเกล้า
ไม่ มีข้อมูลยืนยันว่าได้รับบาดเจ็บจากจังหวะนี้หรือไม่

แต่นาทีชีวิตยังไม่ผ่านพ้นไป เพราะมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายใช้อาวุธปืนยิงถล่มซ้ำเข้าไปอีก
จน พ.อ.ร่มเกล้า ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ที่ น่ากังขาก็คือในสถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย เหตุใดกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจึงเลือกเป้าได้อย่างแม่นยำยิ่ง!

นายทหารที่มีประสบการณ์ในสนาม ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่
ผู้ ชุมนุมทั่วไปหรือคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการทหารจะสามารถ แยกแยะออกว่าใครเป็นใคร
เพราะทหารที่ออกปฏิบัติการล้วนใส่ "ชุดฝึก" ซึ่งหากมองผ่านๆ ก็จะเหมือนๆ กันไปหมด
ยิ่งในช่วงเวลาแห่งความสับสน ยิ่งยากที่จะรู้ว่าใครเป็นใคร ใครเป็นนาย ใครเป็นลูกน้อง

ทหาร ที่อยู่ในจุดเกิดเหตุ ให้ข้อมูลว่าเห็นแสงเลเซอร์เป็น
ลำสีแดงพุ่ง ตรงมายังจุดที่นายทหารระดับสูง
นั่งกันอยู่ก่อนถูกถล่ม!

เสียงวิจารณ์ว่างานนี้คงไม่ใช่แค่การปะทะกันระหว่างทหารชุดรักษาความสงบกับ
ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงจึงดังกระหึ่มในแวดวง "คนมีสี" หลายเสียงเชื่อว่านี่คือการ "ล็อคเป้ายิง"
โดยมีเงื่อนงำลึกลับซับซ้อน ยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากันระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายต่อ ต้านรัฐบาล

ประการแรก พล.ร.2 รอ. คือหน่วยที่ปฏิบัติการสลายการชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง
ในเหตุการณ์ เมษาฯ เลือด เมื่อปี 2552 เป็นปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จอย่างแทบจะไร้ที่ติ
เพราะไม่มีผู้ใด เสียชีวิต ในขณะที่บางกลุ่มบางฝ่ายอยากให้มีการสูญเสียใจแทบขาด

และ พ.อ.ร่มเกล้า กับ พ.ท.เกรียงศักดิ์ ก็คือสองขุนพลที่ปฏิบัติการภาคสนามในวันนั้น
โดยมี พล.ต.วลิต เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด

ความพยายามตรวจสอบเพื่อค้นหาความจริงในเวลาต่อมา พ.อ.ร่มเกล้า คือ
กำลัง สำคัญของหน่วยที่เดินสายชี้แจง พร้อมเปิดหลักฐานทุกชนิด
เพื่อยืนยันว่า ปฏิบัติการที่สามเหลี่ยมดินแดงดำเนิน ไปตามขั้นตอนและกฎการปะทะทุกอย่าง
ไม่ มีการละเมิดสิทธิประชาชนผู้ชุมนุมเลยแม้แต่น้อย

บทบาทของ พ.อ.ร่มเกล้า ย่อมทำให้กลุ่มการเมืองบางฝ่ายไม่พอใจ...

ประการที่สอง การที่นายทหารทั้งสามล้วนเป็นสายเลือด "บูรพา พยัคฆ์" จาก พล.ร.2 รอ.
อาจทำให้พวกเขาตกเป็นเป้า เพราะ "บูรพา พยัคฆ์" คือ
กลุ่ม นายทหารที่ยึดกุมอำนาจแทบจะเบ็ดเสร็จในกองทัพบก ตั้งแต่หัวแถวอย่าง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.อนุ พงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าจ่อเก้าอี้ ผบ.ทบ.คนต่อไป

นอกจากนั้นยังมี พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ต่อแถวอยู่อีกคน และ พล.ต.วลิต
ก็คือนายทหารมือดีในกลุ่มที่กำลังก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญต่อ ไป..
.ทั้งหมด ล้วนเติบโตมาจากเส้นทางสายเดียวกันทั้งสิ้น

การเติบใหญ่ของกลุ่ม "บูรพาพยัคฆ์" ย่อมทำให้นายทหารจากหน่วยอื่นๆ ไม่พอใจ...

ปฏิบัติการรุนแรงที่สี่แยกคอกวัว กับลูกระเบิดและกระสุนปืนที่พุ่งตรงสู่เป้าหมายคือ
นายทหารหน่วยนี้อย่าง แม่น ยำ เป็นคำตอบที่คนในวงการฟันธงว่า
น่าจะเป็นฝีมือของ "คนมีสี" ด้วยกัน และน่าจะ "สีเดียวกัน"

นี่ ยังไม่นับแผนปฏิบัติ "ขอคืนพื้นที่" บริเวณโดยรอบเวที ชุมนุมเชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
ที่ถูก ตั้งคำถามจากผู้มีประสบการณ์ว่า ทำกันอย่างนี้ได้อย่างไร
โดยเฉพาะการ เปิดปฏิบัติการในช่วงบ่ายถึงค่ำซึ่งยืดเยื้อโดยใช่เหตุ
ซ้ำยังสุ่ม เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากมือที่สามเป็นอย่างยิ่ง

"บิ๊กมีสี" บางคนถึงกับฟันธงว่างานนี้น่าจะมี "วางยา" และมี "ไส้ศึก" เสียด้วยซ้ำ...

ฤา กลุ่ม "บูรพาพยัคฆ์" กำลังถึงคราวอัสดง!

Sunday, April 11, 2010

ทหารลอยแพมาร์ค เมินสลายม็อบกลับกรม/แดงโหนศพตระเวนทั่วกรุง

By thaipost
Created 12 Apr 2553 - 00:00

"ขุนทหาร" ลอยแพ "อภิสิทธิ์" ลั่นไม่สลายม็อบไพร่อีก ชี้ 10 เมษาวิปโยคเพราะการเมืองแทรกจนสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย สั่งทหารกลับกรมกองเหลือเพียงสถานที่สำคัญ พรรคร่วมรัฐบาลขย่มซ้ำ ยื่นเงื่อนไขแก้รัฐธรรมนูญ เจรจารอบ 3 หาทางออก "เทือก" ยอมฮาราคีรีเพื่อสังเวย "แดง" ได้ทีเตรียมโหนคนตาย นัดแห่ศพรอบกรุงบนถนนสำคัญ หวังประกาศศักดาทั่วโลก
การปะทะกันอย่างรุนแรงเมื่อวันเสาร์ของทหารและกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทำให้มีผู้ เสียชีวิตถึง 21 คน และบาดเจ็บกว่า 800 คน ยังสร้างผลสะเทือนต่อกลุ่มผู้ชุมนุมและรัฐบาลอย่างต่อเนื่องในวันอาทิตย์
โดยบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศและ แยกราชประสงค์ ยังคงมีผู้ชุมนุมนั่งปักหลักฟังปราศรัยอยู่แต่ค่อนข้างบางตา ในขณะที่อารมณ์ของผู้ชุมนุมส่วนใหญ่มีสีหน้าเศร้าสลดใจอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่โดยรอบบริเวณการชุมนุมไม่ปรากฏทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนรักษาการณ์ แต่อย่างใด แตกต่างจากการ์ด นปช.ที่รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจำนวนมาก
และในการปราศรัยบนเวทีส่วนใหญ่แกนนำต่างกล่าวแสดงความเสียใจแก่ผู้ที่ได้รับ บาดเจ็บ เสียชีวิต รวมทั้งได้เชิดชูว่าเป็นผู้ต่อสู้เพื่อทวงประชาธิปไตยกลับคืนมา พร้อมทั้งประณามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยใช้คำว่า ทรราช และนายกฯ มือเปื้อนเลือด รวมทั้งมีการประกาศรายชื่อบุคคลที่สูญหายไปเป็นระยะๆ และได้กระตุ้นผู้ชุมนุมให้มาร่วมเวทีอย่างต่อเนื่องเพราะอาจมีการสลายการ ชุมนุมรอบ 2
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง ได้ยืนยันถึงเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ว่า ไม่ใช่การขอพื้นที่คืน แต่เป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ เป็นการเห็นแก่ได้และอำมหิตเกินไป จึงอยากฝากถามนายอภิสิทธิ์ว่า ต้องการให้ประชาชนเสียสละชีวิตอีกกี่ชีวิตท่านจึงจะสละคืนอำนาจให้ประชาชน ขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาทันที และออกนอกประเทศ หากดึงดันอยู่ต่อไปก็มีแต่จะเพิ่มจำนวนศพ
"ยืนยันปักหลักสู้โดยสันติวิธีต่อไปจนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ หากต้องการเอาพื้นที่คืน จะต้องการชีวิตคนเสื้อแดงอีกกี่คนขอให้บอกมา นายอภิสิทธิ์อยู่ในฐานะนายกฯ ไม่ได้อีกแล้ว หากไม่ตัดสินไม่ยุบสภาเราก็พร้อมนำร่างผู้เสียชีวิตตามไปเรียกร้องความ ยุติธรรม ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม เราก็ต้องไป" นายณัฐวุฒิกล่าว และว่า ในวันที่ 12 เม.ย. จะแห่ศพผู้เสียชีวิต 14 รายไปรอบกรุงเทพฯ เพื่อประกาศศักดาให้ชาว กทม. ประชาชนทั้งประเทศและทั่วโลกได้รับรู้
เขายังได้ปฏิเสธกรณีการเสียชีวิตจำนวนมากมีสาเหตุมาจากเอ็ม 79 ว่า ไม่ใช่แนวทางของกลุ่มคนเสื้อแดง และขอปฏิเสธความรับผิดชอบว่ากลุ่มคนสื้อแดงเป็นคนทำ ส่วนจะเป็นมือที่สามหรือสี่หรือไม่ ไม่ทราบ แต่ไม่ใช่ฝีมือของคนเสื้อแดง และขอเรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยไร้ความแค้นเข้ามาเกี่ยวข้อง

แห่ศพถนนหลักกรุงเทพฯ
นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนรักอุดร ระบุว่า หากนายอภิสิทธิ์ยังไม่ยอมยุบสภา ก็ต้องเพิ่มแรงกดดัน โดยอาจนำศพผู้ชุมนุมแห่ไปหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์และบ้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อประจานกรณีทหารฆ่าประชาชน
ในช่วงค่ำ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง ปราศรัยบนเวทีผ่านฟ้าฯ ยืนยันว่ากิจกรรมในวันที่ 12 เม.ย. เวลา 10.00 น.จะแถลงข่าว และจัดขบวนแห่สดุดีวีรชนใหญ่บนถนนสำคัญของกรุงเทพฯ แต่ยังไม่บอกจุดหมายปลายทาง
ในขณะที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้แสดงความคิดเห็นถึงเหตุการณ์เมื่อค่ำวันที่ 10 เม.ย.ว่า การที่ทหารออกมาปราบครั้งนี้ ถือเป็นอาชญากรสงคราม ต้องโทษตามกฎหมาย ซึ่งมีอายุความ 20 ปี ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ และจะเหมือนสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม
"ความผิดของ ผบ.ทบ.คือใช้คนซุ่มยิงที่บนหลังคาตึกโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งสาเหตุที่คนตายจำนวนมากเพราะพลซุ่มยิงได้ยิงลงมาใส่ประชาชนก่อน ทำให้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายหรือนักรบโรนินยิงตอบโต้ บังเอิญลูกระเบิดเอ็ม 79 ลูกแรกที่ยิงเข้าไปตกเต็นท์ทหารข้างโรงเรียนสตรีวิทยาที่ใช้เป็นกองบัญชาการ รบครั้งนี้ ทำให้โดน พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.2.รอ.) ซึ่งเป็นแม่ทัพในการทำศึกครั้งนี้บาดเจ็บสาหัสและโดนนายทหารชั้นสัญญาบัตร หลายคนก็บาดเจ็บ ทำให้การศึกครั้งนี้ไม่มีคนสั่ง ไม่มีแม่ทัพ ไม่มีคนบัญชา ทำให้ทหารปราชัยถอยออกไป" พล.ต.ขัตติยะระบุ
พล.ต.ขัตติยะกล่าวต่อว่า การเข้าตีของทหารปกติต้องทำก่อนสว่างอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ซึ่งการเข้าตีช่วงกลางคืนนั้นถือเป็นการกระทำที่ผิดวิธี ผบ.ทบ.ต้องตอบคำถามให้ได้ ทำไมเอาทหารมารบกับคนไทย รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ก็ต้องยุบสภา เหตุการณ์ถึงจะสงบลง เพราะวันนี้คนเสื้อแดงยึดปืนได้หมด หากทหารจะเข้ามาสลายการชุมนุมอีกครั้งจะมีคนตายมากกว่าเก่าเป็นร้อยเท่า เพราะเขามีปืนกลมีปืนต่อสู้อากาศยานที่สามารถยิงเฮลิคอปเตอร์ได้
สอดคล้องกับนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รักษาการโฆษกรัฐบาล ที่กล่าวชี้แจงผ่านโทรทัศน์ทุกช่องในช่วงบ่ายว่า การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จะให้กลับมายังที่ตั้งหรือหน่วยเพื่อปรับกำลังพล ตรวจสอบความพร้อม อุปกรณ์และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกขโมย ตรวจสอบบัญชีอาวุธที่หายไป และติดตามกลับคืนเข้ามา และขณะนี้มีการรวบรวมหลักฐานข้อเท็จจริงเบื้องต้น รวมทั้งภาพถ่ายจากทางหลายฝ่าย ส่งเข้ามาโดยทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จะดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงว่าอะไรเกิดขึ้นในห้วงเวลาเย็นและค่ำวันที่ 10 เม.ย.

แฉอาวุธสงครามเพียบ
"เบื้องต้นพบว่ามีการใช้แก๊สน้ำตาชนิดยิง และพบว่ามีระเบิดหลายชนิดทั้งเอ็ม 79 เอ็ม M 67 ปืนกล อาก้าหรือเอชเค หรืออาวุธที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเองเช่นไม้ การใช้ปืนกลยังได้พบการบันทึกภาพว่ามีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่ทหารรวบ รวมอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมและมีปืนกลอยู่ด้วย ภาพต่างๆ เหล่านี้จะนำทยอยออกมาให้สาธารณชนรับทราบ" นายปณิธานกล่าว
ส่วน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ทบ. ในฐานะโฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ศอฉ.พร้อมรับการตรวจสอบ เพราะในที่ประชุมระดับผู้บังคับการทุกหน่วยต่างยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ทุกนายปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด ไม่มีการยิงเข้าใส่ประชาชนด้วยกระสุนจริง หรือทำในสิ่งที่เกินกว่าเหตุ
"เหตุการณ์ชุลมุน ทหารไม่ได้บุกเข้าหาผู้ชุมนุมก่อน แต่เกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุมต้องการไล่ทหารให้ออกจากพื้นที่จึงเดินเข้าหาทหาร ซึ่ง ศอฉ.มีภาพบันทึกไว้หมด รวมถึงมีคนเห็นว่ามีการบยิงระเบิดและกระสุนยิงมาจากไหน" พ.อ.สรรเสริญกล่าว และว่า ศอฉ.ได้ให้มีการตรวจสอบอาวุธที่สูญหายและถูกยึดไปโดยด่วน เพราะเกรงว่าจะมีการนำไปสร้างสถานการณ์และโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่

ทหารพ้อถูกส่งไปตาย
พ.อ.สรรเสริญยังกล่าวถึงการปฏิบัติการต่อไปว่า ต้องรอนโยบายจากรัฐบาล ซึ่งการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่จะเป็นไปตามหลักสากล และไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิต แต่ผู้ชุมนุมบางส่วนใช้อาวุธกระสุนจริง ระเบิดเอ็ม 79 เอ็ม 67 หากเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าเราส่งเจ้าหน้าที่ไปได้รับบาดเจ็บ เท่ากับว่าส่งไปตาย จึงต้องมีความชัดเจนในการดำเนินการว่าจะให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างไร
สำหรับนายทหารระดับสัญญาบัตรที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุปะทะกันที่บริเวณ แยกคอกวัว อาทิ พล.ต.วลิต ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร 2 รอ.) ได้บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดเอ็ม 79 ส่งผลให้ขาหัก 3 ท่อน, พ.อ.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ (ร.12 พัน 2) ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่สมองซีกขวา จนทำให้ต้องมีการผ่าตัดเปิดสมอง และ พ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ ผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ (ม.พัน 3 รอ.) โดนสะเก็ดระเบิดส่งผลให้รับบาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้าง
ในขณะที่สื่อต่างประเทศหลายสำนักก็มีภาพข่าวบุคคลถืออาวุธสงคราม โดยเฉพาะภาพสำนักข่าวอัลจาซีเราะห์ได้เผยแพร่ภาพชายสวมชุดดำ ใส่หมวกไหม พรม ถืออาวุธปืนอาก้าและเอ็ม 16 ในขณะที่เอ็นบีทีก็ได้เผยแพร่การยิงกระสุนจากบนตึก รวมทั้งการยิงปืนอาก้าใส่เจ้าหน้าที่ด้วย
และในระหว่างการชุมนุมในวันที่ 11 เม.ย.นั้น กลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้มีการเคลื่อนไหวไปยัง 2 พื้นที่ โดย นปช.ประมาณ 400 คนได้ไปปิดล้อมบ้านพักนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ซอยจรัญสนิทวงศ์ 57 เพื่อเรียกร้องให้ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล และได้มอบจดหมายเปิดผนึก โดยจะมารอคำตอบภายใน 3 วัน ซึ่งก็ไม่มีเหตุรุนแรงแต่อย่างใด

ยึด"พีทีวี"คืนอีกรอบ
ส่วนอีกแห่งหนึ่งนั้น นปช.กว่า 1,000 คน นำโดยนายชูชีพ หาญสวัสดิ์ ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ แกนนำ นปช. ได้เคลื่อนขบวนมาปิดล้อมสถานีบริการภาคพื้นดินดาวเทียมไทยคม อ.ลาดหลุมแก้ว เพื่อเรียกร้องให้มีการเปิดสัญญาณออกอากาศของสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชนแนล ท่ามกลางการตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 300-400 นาย โดยผู้ชุมนุมที่ทนรอการเจรจาไม่ไหวได้มีการพังรั้วเข้าไป แต่ไม่มีเหตุรุนแรงแต่อย่างใด และในที่สุดก็สามารถเจรจาให้เชื่อมต่อสัญญาได้ โดยกลุ่มคนเสื้อแดงยังขอปักหลักเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไปเพื่อป้องกันทหารกลับมา ตัดสัญญาณ
ในขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ที่ลาดหลุมแก้วได้เข้ายึดรถถ่ายทอดของโม เดิร์นไนน์ทีวีและทีวีไทย รวมทั้งกล้อง เนื่องจากระบุว่าไม่พอใจที่รายงานข่าวไม่เป็นกลาง โดยบอกว่าจะนำกลับไปบริเวณการชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ แต่เมื่อเจรจาพักใหญ่กลุ่มคนเสื้อแดงก็คืนให้ทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์การไม่ลงรอยกับสื่อยังเกิดขึ้นบนเวทีผ่านฟ้าฯ อีก เมื่อนายสมชาย ไพบูลย์ แกนนำ นปช. ได้ปราศรัยบนเวทีโจมตีสื่ออย่างดุเดือด รวมทั้งขับไล่ไม่ให้ทำข่าว ทำให้สื่อมวลชนพร้อมใจกันบอยคอต โดยระหว่างการออกจากพื้นที่รถถ่ายทอดของช่อง 3 ก็ถูกปาอิฐใส่จนทำให้กระจกแตกและคนขับได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.ต้องรีบขึ้นเวทีชี้แจงที่ราชประสงค์ว่า เกิดจากอารมณ์ค้าง และได้เรียกร้องอย่าทำร้ายสื่อสมวลชน เพราะเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ และสื่อก็เป็นพันธมิตรของคนเสื้อแดง
ยังมีเหตุที่เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฝั่งธนบุรี เมื่อคนเสื้อแดงกว่า 1,000 คน พร้อมไม้หน้าสามได้ยืนกระจายตัวอยู่บนสะพานและเชิงสะพานเมื่อมีข่าวว่าทหาร จะมานำรถที่ถูกทำลาย 17 คันบนสะพานดังกล่าวกลับคืน แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด โดยระหว่างนั้นกลุ่มคนดังกล่าวก็ได้ทุกทำลายกระจกและรถทุกคันจนไม่สามารถใช้ การได้ก่อนเดินทางกลับสะพานผ่านฟ้าฯ
สำหรับกรณีนายทหาร 4 นายที่ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงจับตัวไปนั้น เมื่อเวลา 14.30 น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ได้เดินทางมารับที่บริเวณเต็นท์ด้านหลังเวทีปราศรัยสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยมีนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย และนายพายัพ ปั้นเกตุ แกนนำกลุ่ม นปช.เป็นผู้มอบส่ง พร้อมกับทำบันทึกว่าทหารทั้ง 4 นายไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ในเวลา 18.00 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ พร้อมแกนนำ นปช. เดินทางมาขึ้นเวทีสะพานผ่านฟ้าฯ เพื่อร่วมพิธีศพของผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ โดยมีการเคลื่อนศพจากสะพานผ่านฟ้าฯ ไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งมีรถจักรยานยนต์บีบแตรนำขบวนเคลื่อนศพ โลงแรกเป็นโลงสีขาวคลุมธงชาติ อีก 2 โลงเป็นสีแดง โดยเคลื่อนศพทั้งสามไปตั้งบนอนุสาวรีย์ฯ ส่วนโลงสีแดงอีก 14 โลง วางเรียงอยู่บนฐานอนุสาวรีย์ ฯ จากนั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ได้เป็นประธานในพิธีสวดพระอภิธรรม
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ศอฉ. ระบุถึงเหตุการณ์ว่า การชุมนุมมีภาพซ้อนหลายมิติ แฝงกันมาหลายกลุ่ม ซึ่งจะทราบกันหรือไม่ตอบไม่ได้ แต่ว่าวันข้างหน้าในการสืบสวนก็จะชัดเจนเอง คนที่แฝงมามีอาวุธสงคราม ทั้งปืนอาก้า เอ็ม 16 เอ็ม 79 พอได้จังหวะยิงเข้ามาใส่ ซึ่งได้ติดตามดูจากการถ่ายทอดสื่อมวลชน และที่ประชาชนส่งมา บางภาพยิงถูกผู้ชุมนุมกันเอง บางภาพยิงถูกประชาชนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย บางภาพก็ยิงทหาร มันทำให้เกิดการสูญเสีย ในฐานะคนที่รับผิดชอบขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้ที่ต้องสูญ เสีย ไม่ว่าพลเรือน ทหาร และผู้สื่อข่าว

เทือกชี้โหดเหี้ยมอำมหิต
"เหตุการณ์เมื่อวันเสาร์เกินการคาดการณ์กว่าที่คิดไว้จริงๆ ผมไม่คิดว่าคน ไทยด้วยกันจะโหดเหี้ยมอำมหิตกันอย่างนี้ และทำร้ายพี่น้องร่วมชาติ ทำร้ายประเทศ ก็น่าเสียใจ" นายสุเทพกล่าว
ถามว่ามีการตรวจสอบเชิงลึกอาวุธที่นำมาจากสมุทรปราการหรือไม่ นายสุ เทพกล่าวว่า จากการข่าวบอกว่ามีมาจากสมุทรปราการและสุรินทร์บ้าง โดยได้ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปสอบสวนแล้ว นายสุเทพยังยืนยันถึงสายสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลว่า เข้าใจกันดี เพราะทุกขั้นตอนได้ชี้แจงให้รับทราบและปรึกษาหารือกันตลอดแม้ในวันที่ประกาศ พระราชกำหนดฯ เช่นเดียวกับผู้นำเหล่าทัพที่เข้าใจกันดีอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
"ไม่มีปัญหา ถ้าทำอะไรให้ประเทศคืนสู่ความสงบความเรียบร้อยได้ ยินดีไม่มีปัญหา" นายสุเทพตอบคำถามเรื่องหากต้องเสียสละเพื่อเคลียร์กรณีนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายสุเทพกล่าวแสดงความเสียใจที่มีทหารเสียชีวิตนั้น นายสุเทพมีน้ำตาคลอเบ้า และแสดงอาการเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ท่ามกลางข่าวเหตุการณ์การปะทะนั้น ก็มีข่าวลือเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้เสียชีวิตลงแล้ว ซึ่งนายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมาปฏิเสธ โดยระบุว่าเป็นเพียงข่าวลือ เพราะยังมีสุขภาพแข็งแรง รวมทั้งได้ปฏิเสธข่าวการเป็นมะเร็งด้วย ในขณะที่เวทีความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงก็มีประกาศข่าวการเสียชีวิตของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเช่นกัน

ทหารลอยแพมาร์ค
แหล่งข่าวนายทหารระดับสูงกล่าวว่า การปะทะเมื่อวันที่ 10 เม.ย. จนเกิดการสูญเสียประชาชนและทหารนั้น ถือเป็นการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดของรัฐบาล เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ต้องการให้กำลังเจ้าหน้าที่ดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย จึงสั่งให้กองทัพยึดคืนพื้นที่สะพานผ่านฟ้าฯ โดยได้ย้ำไม่ให้กำลังทหารที่ออกปฏิบัติหน้าที่ใช้อาวุธปืนและกระสุนจริง แต่ให้มีเพียงโล่ กระบอง อาวุธปืนที่บรรจุกระสุนยาง แต่ผู้ที่สามารถถือปืนบรรจุกระสุนจริงมีเพียงนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน และผู้บัญชาการกองพลเท่านั้น ทำให้ผู้ชุมนุมไม่มีความเกรงกลัวและทำให้การปฏิบัติหน้าที่ไม่บรรลุตามเป้า หมาย
"นายทหารระดับสูงของกองทัพคุยกันแล้วว่า หากมีคำสั่งให้ทหารออกไปปฏิบัติภารกิจในลักษณะดังกล่าวอีก คงต้องปฏิเสธ เพราะเห็นตรงกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด นายกฯ ต้องการบังคับใช้กฎหมาย แต่สภาพการทำงานไม่สามารถคุมเหตุการณ์ได้ โดยหากจะให้ทหารเข้าคุมพื้นที่ก็ต้องให้อาวุธเขาเพื่อทำให้น่าเกรงขาม แต่กองทัพยังคงทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐบาล ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองจะหาทางออกอย่างไร คงต้องปล่อยให้ฝ่ายการเมืองแก้ไขวิกฤติเอง ซึ่งขณะนี้ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งให้ทหารกลับเข้ากรมกองแล้ว" นายทหารระดับสูงกล่าว
แหล่งข่าวบอกด้วยว่า กองทัพไม่ได้ส่งสัญญาณให้นายกฯ ยุบสภา หรือลาออก แต่ส่งสัญญาณว่าเจ้าหน้าที่ทหารจะไม่ออกไปปฏิบัติภารกิจเหมือนวันที่ 10 เม.ย.อีก และ ผบ.เหล่าทัพได้เสนอให้ใช้กำลังตำรวจไปดูแลบริเวณการชุมนุมที่บริเวณผ่านฟ้า ลีลาศเท่านั้น ส่วนทหารจะดูแลสถานที่ราชการสำคัญเท่านั้น โดยเฉพาะพื้นที่ล่อแหลมสุ่มเสี่ยงทั้งทำเนียบรัฐบาล อาคารรัฐสภา สวนจิตรลดา โรงพยาบาลศิริราช บ้านพัก พล.อ.เปรม
แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) รวมถึงหน่วยข่าวทางด้านการทหาร ได้รายงานต่อที่ประชุม ศอฉ.แล้วว่าจะมีกลุ่มติดอาวุธปะปนเข้ามาก่อเหตุ แต่รัฐบาลไม่ฟังโดยเฉพาะนายกฯ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะทุกอย่างเข้าทางกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งหมด
"วันนี้ทุกฝ่ายจะต้องมาเจรจาทำสัญญาประชาคมด้วยกันว่า หากล้างไพ่ไปแล้วทุกฝ่ายจะต้องจบ และยอมรับสภาพต้องไม่มีการเดินขบวนประท้วงกันเหมือนแต่ก่อน แต่หากไม่ยอม กันบ้านเมืองก็จะเกิดความวุ่นวายไม่มีวันจบ ส่วนการปฏิวัติรัฐประหารคงยาก แม้ว่ากองทัพจะมีแนวความคิดเพื่อยุติปัญหา แต่ถ้าทำแล้วผลเสียจะตามมาเยอะ โดยเฉพาะการลุกขึ้นมาฆ่ากันของคนไทย" แหล่งข่าวระบุ
ในเวลา 19.30 น. นายสุเทพได้เดินทางไปยังบ้านพักของนายบรรหารเพื่อหารือกับแกนนำพรรคร่วม รัฐบาลถึงสถานการณ์การเมือง โดยพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรค คือ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคภูมิใจไทย และพรรคกิจสังคม ได้ยื่นเงื่อนไขให้แก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มาตราที่ว่าด้วยเขตเลือกตั้ง และมาตรา 190 ตามที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ลงชื่อร่วมกันไปแล้ว โดยไม่ต้องทำประชามติ โดยให้เวลาตัดสินใจ 1-2 วันนี้ หากยังไม่มีอะไรก็อาจมีการทบทวนเรื่องการร่วมรัฐบาล นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พูดคุยถึงผลโพลล์ที่ประชาชนต้องการให้มีการเจรจา รอบ 3 ซึ่งทุกพรรคก็เห็นดีด้วย
ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวว่า รัฐบาลควรหาทางคลี่คลายสถานการณ์ โดยต้องเร่งพิสูจน์หาความจริงให้ปรากฏแก่สังคมโดยเร็ว ซึ่งนายกฯ ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างน้อย ส่วนจะรับผิดชอบ อย่างไรนั้นไม่สามารถบอกได้
นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายพิเศษที่เสถียรธรรมสถานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า อย่าพังบ้าน ซึ่งเวลานี้กำลังจะพังบ้านกันอยู่แล้ว ใครจะชนะช่างหัวมันแต่บ้านพังแล้ว ถนอมๆ กันหน่อย เพราะเรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้ เอาธรรมะเข้าจับ อย่าใช้แต่อารมณ์ เหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ตั้งอยู่บนความโกรธ สุดท้ายคนก็ล้มตายไป และยังตอบไม่ได้เลยมันจะจบอย่างไร
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว แต่มีพ่อแม่คนไหนที่เห็นลูกตีกันแล้วมีความสุข ลูกไม่ดียังพอทนไหว ลูกทรพีพ่อแม่ยังทนได้ แต่ลูกตีกันผมว่าพ่อแม่คนไหนก็ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ที่สุดของพ่อแม่คือเห็นพี่น้องตีกัน ถ้าถามจิตใจพระองค์ท่านตอนนี้ ผมว่าพระองค์ทุกข์ที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าโกรธกันเลย โกรธเมื่อไรประเทศพังเมื่อนั้น" นายสุเมธกล่าว.

"พ.อ.ร่มเกล้า"เหยื่อ คนเถื่อน ถูกสั่งตายหรืออุบัติเหตุ!

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 11 เมษายน 2553 14:33 น.

พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. ค่ายจักรพงษ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี จากกองกำลังบูรพา ที่เสียชีวิต ในเหตุการณ์ปะทะระหว่างกำลังทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อคืน(10 เม.ย.) ที่ผ่านมา ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่า พ.อ.ร่มเกล้า นายทหารกล้าผู้นี้ ถูกคนเถื่อนชี้เป้าให้ยิง หรือ ถูกลูกหลงจากกระสุนจริงของคนเถื่อน

พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 25 (ตท.25) นักเรียนนายร้อยจปร.รุ่น 36 เพื่อนๆเรียกชื่อเล่นกันว่า"เปา"ก่อนมาดำรงตำแหน่งที่ พล.ร.2 รอ. เป็นผบ.ฉก.35 (ยศ พ.ท.) ดำเนินการด้านยุทธศาสตร์ในพื้นที่ อ.สุคิริน และ อ.แว้ง จ.นราธิวาส เป็นเวลากว่า 6 เดือน โดยปฏิบัติการเดินเท้า เข้าทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

พ.อ.ร่มเกล้า บอกถึงการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ในครั้งนั้นว่า ตั้งแต่ลงพื้นที่ 6 เดือน กระสุนไม่เคยออกจากกระบอกแม้แต่นัดเดียว

"การแก้ไขปัญหามี 2 อันดับ คืออันดับแรกแก้ที่ปลายเหตุ หมายความว่าให้คนไทยพุทธป้องกันการละทิ้งถิ่นฐาน และทำให้พี่น้องมุสลิมกลาง ให้ความร่วมมือกับรัฐ ส่วนอันดับสอง คือการแก้ที่สาเหตุ เป็นการแก้ไขในระยะยาว ที่ต้องทำให้คนในพื้นที่เกิดความรู้สึกต่อต้านกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ผมเข้าไปในพื้นที่ ใช้วิธีเข้าไปคุยกับทุกหลังคาเรือน หากเรารู้ว่าคนนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรง แต่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ เราจะเข้าไปคุยกับเขาบ่อยๆ ซึ่งสามารถทำให้ลดการเกิดเหตุรุนแรงขึ้นได้เนื่องจาก เมื่อเราเข้าไปพูดคุยเป็นมิตรกับเขาบ่อยๆ เขาจะเกรงใจ เราจะหยุดการฆ่าด้วยการฆ่าไม่ได้"

"ผมเดินเข้าไปบอกถึงความเป็นคนไทยกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน ผมเดินเข้าไปบอกชาวบ้านว่า ผมเป็นจีน มาจากซัวเถา เพราะแม่ผมเป็นคนจีน คุณมาจากไหนไม่รู้ พูดภาษายาวี แต่เราเป็นคนไทยด้วยกัน เขาก็งง แล้วถามผมว่าแล้วคนไทยคืออะไร ผมก็บอกไปว่าก็พวกเราทั้งหมดคือคนไทย บางทีผมยังต้องเอาประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระนเรศวร ลงไปบอกกับพี่น้องในพื้นที่ว่า นักรบจนถึงชนชั้นขุนนางในอดีตก็มีคนมุสลิม เราร่วมรบกันมา อยู่ร่วมกันมานานแล้ว ปลุกความรักชาติให้เขา" ทั้งหมดเป็นแนวความคิดและแนวปฏิบัติของ พ.อ.ร่มเกล้า เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.ฉก.35 ในพื้นที่ อ.สุคิริน และ อ.แว้ง จ.นราธิวาส

หลังเข้าดำรงตำแหน่งรอง เสธ.พล.ร.2 รอ. แล้ว ได้ปฏิบัติภาระกิจสำคัญ คือการเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง เมื่อช่วงเมษาเลือดปี 2552 โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่ภายหลัง ฝ่ายตรงข้ามพยายามปลุกปั่นประชาชนว่า ทหารฆ่าประชาชน ทำให้ พ.อ.ร่มเกล้า ต้องเดินสาย นำวิดีโอบันทึกภาพเคลื่อนไหว ที่เป็นทั้งการเคลื่อนกำลังพล การตั้งเป็นแนวกั้น ฉายเพาเวอร์พอยต์ อธิบายการทำงานของทหารถึงการสลายชุมนุม ที่มีการเจรจากับผู้ชุมนุม ทั้งจากทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ของ กทม. รวมถึงชาวบ้านย่านแฟลตดินแดง โดยย้ำว่า การทำงานของทหารเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินทุกประการ ซึ่งการเดินสายอธิบายถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เขาได้รับฉายาจากฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะนายจักรภพ เพ็ญแขว่า เป็น"เสธ.เพาเวอร์พอยต์"

นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตุว่า...พ.อ.ร่มเกล้า คือนายทหารที่เคยเป็นผู้แทนของกองทัพบก เข้าให้ข้อมูลเรื่องการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณสามเหลี่ยม ดินแดง เมื่อเดือนเมษายน 2552 ต่อคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์บริเวณแยกดินแดง ซึ่งเป็น อนุกรรมการฯที่อยู่ในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุสลายการชุมนุมของ รัฐสภา ที่มีการแต่งตั้งให้ วุฒิสภา เป็นประธานตรวจสอบในแต่ละ คณะอนุกรรมการ

การเข้าชี้แจงของ พ.อ.ร่มเกล้า ในวันนั้น พ.อ.ร่มเกล้า ถือเป็นทหารที่ได้แสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า การปฎิบัติการในเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ไม่มีพวกแดงเทียม ในการออกมาปฎิบัติการ ตามที่กลุ่มคนเสื้อแดง พูดเพื่อให้พวกตนพ้นผิด พร้อมกับยืนยันว่า กลุ่มมือที่สาม ไม่มีเด็ดขาด แต่เป็นกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แยกกันทำงาน โดยมีเป้าหมายเดียวกัน

ที่สำคัญ พ.อ.ร่มเกล้า ยังสามารถแสดงพยานหลักฐานต่างๆประกอบการชี้แจง มีน้ำหนักเพียงพอ ทำให้ อนุกรรมการฯเชื่อว่าการปฎิบัติหน้าที่ในการสลายการชุมนุมของทหารในวันนั้น ได้ทำอย่างถูกต้องตามหลักสากล ทำให้ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย และ นายชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็น คณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว และร่วมรับฟังการชี้แจงในวันนั้น ถึงกับแสดงอาการไม่พอใจการชี้แจงของ พ.อ.ร่มเกล้า เป็นอย่างยิ่ง

จากความไม่พอใจการชี้แจง ทั้งนายวรวัจน์ และนายชลน่าน ได้พูดด้วยถ้อยคำในทำนองไม่ให้เกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นทหารของ พ.อ.ร่มเกล้า โดยเฉพาะ นายชลน่าน พูดออกมาว่า"คุณไม่เหมาะที่จะเป็นทหารแล้ว"ทำให้อนุกรรมการ ที่เข้าร่วมรับฟังในวันนั้น ถึงกับรู้สึกแปลกใจ และก็ได้รับรู้กันโดยทั่วไปของบุคคลที่เข้าร่วมประชุมในวันนั้น

นอกจากนั้นในการเข้าให้ข้อเท็จจริงในวันดังกล่าว นายวรวัจน์ พยายามที่จะสอบถามถึงผู้สั่งการที่แท้จริง โดยตำหนิฝ่ายทหารว่าไม่ควรโบ้ยไปกันไปมา ทำให้ พ.อ.ร่มเกล้า กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า "ผมพูดตรงๆ ไม่เคยโบ้ยใคร ผมเป็นทหารไม่ใช่นักการเมือง"

อย่างไรก็ตาม การเข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงบริเวณสามเหลี่ยมดิน แดง ไม่ใช่เฉพาะ พ.อ.ร่มเกล้า แต่ยังมีลูกน้องของ พ.อ.ร่มเกล้า ได้เข้าชี้แจงในเวลาต่อมา โดยส่วนใหญ่ ยืนยันเหมือนกับ พ.อ.ร่มเกล้า ว่าการปฎิบัติงานของทหารได้ทำถูกต้องตามขั้นตอน ตามหลักสากล ดังนั้น จึงทำให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ทั้ง 2 ผูกใจเจ็บว่า คณะทหารที่เข้าชี้แจง คือฝ่ายตรงข้ามของคนเสื้อแดง

จากแผนปฎิบัติการทั้งบนดินและใต้ดินของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือน เมษายน 2552 กับแผนปฎิบัติการณ์ในเดือนเมษายน 2553 เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่ แผนปฎิบัติการณ์ในครั้งนี้ กลับเข้มข้นขึ้น ดังนั้น พ.อ.ร่มเกล้า ถูกยิงบริเวณศีรษะจนเสียชีวิต โดย พ.อ.พีระพล ปกป้อง ผอ.กองอุบัติเหตุและฉุกเฉินโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ระบุว่า มีทหาร 2 นาย เสียชีวิตที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า คือ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ.พล.ร.2 รอ. ค่ายจักรพงษ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เนื่องจากมีบาดแผลฉกรรจ์บริเวณศีรษะและลำตัวลักษณะถูกยิงหลายนัด ส่วนทหารอีก 1 นายที่เสียชีวิต คือ พลทหารสิงหา อ่อนทรง มีบาดแผลถูกยิงบริเวณอกซ้าย 1 นัด นอกจากนั้น ยังมีทหารได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 20 นาย ในจำนวนนี้ รวมทั้ง พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ. มีบาดแผลถูกยิงบริเวณขาซ้ายด้วย

แม้วันนี้ จะยังไม่มีการยืนยันการเสียชีวิตที่แท้จริงก็ตามที แต่เป็นไปได้หรือไม่ ที่แผนขั้นแตกหักครั้งนี้ จะเป็นการชี้เป้าให้ยิง อีกทั้งที่น่าสังเกตุ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.อ.ร่มเกล้า และเขาก็คือทหารที่เข้าชี้แจงต่ออนุกรรมการดังกล่าว

การสูญเสีย พ.อ.ร่มเกล้า ทหารกล้าในครั้งนี้ รัฐบาล และ ผู้เกี่ยวข้อง จะต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่า ตายเพราะอุบัติเหตุจากการสลายการชุมนุม หรือ ตายเพราะเป็นการชี้เป้าให้ยิงของกลุ่มคนร้าย เพราะในอดีตหลักฐานการชี้แจงของ พ.อ.ร่มเกล้า ได้ถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐาน หากรัฐบาลไปขอคำบันทึกในครั้งนั้น มาประกอบการพิสูจน์ทราบการตายของ พ.อ.ร่มเกล้า ก็น่าจะมีประโยชน์ หรือ อาจจะนำไปสู่ การจับกุมคนสั่งตายในครั้งนี้

อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า ทหาร พล.ร.2 รอ. ค่ายจักรพงษ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เชื่อว่า การเสียชีวิตของพ.อ.ร่มเกล้า ในครั้งนี้ น่าจะมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.2552 ที่พวกเขาเชื่อว่า พรรคพวกของพวกเขาล้มหายตายจากไปจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มีการพุ่งเป้าและหมายหัว"ผู้พันเปา" กับทหารจาก จ.ปราจีนบุรีเป็นพิเศษ จนกระทั่งกองทัพต้องสูญเสียพ.อ.ร่มเกล้า ไป ส่วนจะเป็นการ"ชี้เป้า"ให้เก็บพ.อ.ร่มเกล้าหรือไม่นั้น พยานหลักฐานและเวลาในอนาคตจะเป็นเครื่องพิสูจน์

Saturday, April 10, 2010

หางแดงจี้"มาร์ค"ยุบสภาเดินทางออกนอก ประเทศ-ปฏิเสธเฉยไม่ได้ใช้เอ็ม79ถล่มทหาร

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 เมษายน 2553 12:24 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาด ใหญ่ขึ้น
ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ


แกนนำไพร่แดง ย้ำให้ "มาร์ค" ยุบสภา พร้อมเดินทางออกนอกประเทศทันที โยนเหตุปะทะให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบคนเดียว ปฏิเสธหน้าตาเฉยไม่ได้ใช้ระเบิด เอ็ม 79 ถล่มทหาร อ้างไม่ใช้วิธีของคนเสื้อแดง พร้อมปล่อยข่าวทหารเตรียมปฏิวัติ แต่ ผบ.สูงสุดไม่เอาด้วย "จตุพร" เผย "พ่อแม้ว" โทรฯหาบอกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ ให้ตัดสินมใจเองจะสู้ต่อหรือหยุด

นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำ นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดงแถลงข่าวลำดับเหตุการณ์การปะทะระหว่างทหารและผู้ ชุมนุมที่สี่แยกคอกวัว จนทำให้ตนต้องเดินทางไปที่เวทีผ่านฟ้า และประกาศขอเจรจากับผู้ที่มีอำนาจในรัฐบาล และผู้ที่มีอำนาจในกองทัพ จนทำให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มาหาตน เพื่อพูดคุยและสุดท้ายได้มีการหยุดยิง แต่ยืนยันว่า ไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องยุบสภา และหลังจากมีการเจรจาจึงทำให้เหตุรุนแรงยุติลง

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ข้อเรียกร้องที่ให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาก็ยังมีอยู่ และขอให้ยุบสภาตอนนี้และเดินทางออกนอกประเทศไป เพราะตอนนี้ข้อเท็จจริงเกิดขึ้น ก็ต้องมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย และมีการชำระความจริงบันทึกในประวัติศาสตร์ ว่าประชาชนใช้เพียงมือเปล่า เรื่องนี้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ และเราจะรวบรวมภาพข่าวทั่งหมด เพื่อมาประมวลความจริง และหากประชาชนคนใดอยู่ในเหตุการณ์ มีภาพข่าวหรือคลิปวีดีโอก็สามารถมามอบที่หลังเวทีได้ เราจะนำความจริงมาเปิดให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้มีข่าวตลอดว่าจะมีการัฐประหาร แต่ก็ไม่เกิดขึ้นและได้เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ซึ่งกลุ่มเสื้อแดงจะยังปักหลักที่สะพานผ่านฟ้า ลีลาศ และที่แยกราชสงค์ต่อไป

"วันนี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ไม่มีความชอบธรรมในการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และไม่มีความชอบธรรมที่จะขอยึดพื้นที่คืน คำกล่าวอ้างของรัฐบาลฟังไม่ได้ เพราะที่ผ่านมานายกฯยืนยันมาตลอด ว่า พื้นที่ที่ผ่านฟ้าชุมนุมได้ แต่ไม่ให้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์ แต่ปรากฎกับมีการนำอาวุธสงครามไปใช่ที่สะพานผ่านฟ้าฯ ทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร รัฐบาลใช้ปฏิบัติการทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ รัฐบาลคงประเมินสถานการณ์แล้วว่า ที่ผ่านฟ้าคนน้อย ที่แยกราชประสงค์คนเยอะ จึงทำให้ไปปฏิบัติการที่ผ่านฟ้าแทน จึงอยากถามว่า จะต้องให้ประชาชนเสียสละอีกกี่ชีวิต ถึงจะคืนอำนาจให้กับประชาชน เพราะวันนี้นายกฯ นั่งอยู่บนซากศพและเลือดของประชาชน จึงขอให้คืนอำนาจให้กับประชาชน"

นายณัฐวูฒิ กล่าวว่าวันนี้คงต้องถามหาสำนึกของนายกรัฐมนตรี ที่อย่าใช้เพียงแค่วาทะศิลป์ทางคำพูด แต่ไม่รับผิดชอบใดๆ มาพูดว่าทหารไม่ได้ใช้กระสุนจริงเรื่องนี้ไม่ควรมาพูดกันแล้ว แต่ต้องพูดว่านายกฯ จะตัดสินใจอย่างไร ไม่เช่นนั้น ก็จะมีผู้ที่เสียสละชีวิตอยู่ตลอดเวลา จึงขอเรียกร้องให้คืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการยุบสภาตั้งแต่วันนี้

"ผมขอพูดถึงทหารใหญ่ในกองทัพว่า รู้สึกเสียใจกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เสียชีวิต แต่ข่าวที่ออกมามีการยิง เอ็ม 79 เข้าไป ซึ่งวิธีนี้ไม่ใช่วิธีการของคนเสื้อแดง ดังนั้นขอให้ทุกคนรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น นายกฯ เป็นทรราชย์ จะวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็หยุดเรียกการเป็นทรราชย์ไม่ได้"

ด้านนายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ จะต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด ส่วนที่มีรศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้ประสานงาน คณาจารย์ 303 คน จาก 14 สถาบัน เรียกร้องให้ตั้งคณะกรรมการกลางนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพวกนี้เป็นพวกนายอภิสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนนี้ทางแกนนำได้ยินมาตลอดว่า จะมีความพยายามทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร แต่วงในข่าวทางกองทัพบอกว่า มีทหารระดับสูงหลายคนไม่เห็นด้วย เช่น พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ระบุว่า คนเสื้อแดงไม่ได้มีปัญหากับกองทัพ แต่มีปัญหากับรัฐบาล ซึ่งวันนี้ คนเสื้อแดงจะติดตาม ข่าวว่าจะมีการล้อมปราบอีกหรือไม่ทั้ง 2 เวที

นายจตุพร กล่าวด้วยว่าตนได้คุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อคืนที่ผ่านมาซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ติดตามสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นของคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าฯและ ได้แสดงความเสียใจและสะเทือนใจมาก เมื่้อถามว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีการระบุหรือไม่ว่าจะให้สู้ต่อหรือยุติเนื่องจากเกิดการสูญเสีย นายจตุพร กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าให้เป็นดุลพินิจของคนเสื้อแดง

นายจตุพร กล่าวว่าจำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตตามโรงพยาบาลนั้น ช่วงบ่ายจะมีทีมของเสื้อแดงไป แต่หากไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนก็จะต้องขอเข้าไปตรวจสอบ ส่วนกองทุนที่จะมีการตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและผู้เสีย ชีวิต นอกจากพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงแล้วพ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้ามาเป็นแกนนำหลักในการระดมทุนช่วยเหลือด้วย

"ประสงค์" ค้านเจรจา เสื้อแดง ซัด"มาร์ค"อ่อนหัด เอาตัวรอด! แนะ รบ.ให้อิสระทหารทำงาน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 เมษายน 2553 11:53 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาด ใหญ่ขึ้น
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ


อดีตเลขาฯสมช.อัด รบ.ไม่ประสีประสาคิดแต่จะเอาตัวรอด ไม่คิดถึงบ้านเมืองจะรอดหรือไม่ ลั่นไม่ควรคิดเจรจาเสื้อแดงอีก เชื่อหากยังแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้จะยื้ดเยื้อ ปชช.จะตายเพิ่มขึ้น เหน็บแค่คำว่าเสียใจ ไม่มีประโยชน์แก้ไขอะไรไม่ได้ แนะให้อิสระทหารทำงานอย่ากำกับ ชี้เวลานี้เป็นเรื่องของบ้านเมืองไม่ใช่การเมือง

วันนี้(11 เม.ย.) น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ให้สัมภาษณ์ในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ถึงสถานการณ์การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากว่า ที่ผ่านมา 1 ปีกว่า รัฐบาลไม่ได้สนใจที่จะดำเนินการกับกลุ่มนปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ในการดำเนินการออกอากาศทีวีของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีการปลุกระดมอย่างต่อเนื่อง ทำให้มวลชนคนเสื้อแดงเติบโตขึ้นมาอีกจำนวนมาก ซึ่งตนคิดว่า หากภายใน 1-2 วันนี้ รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐบาล ยังไม่คิดดำนินการอะไรกับกลุ่มคนเหล่านี้ บ้านเมืองจะเสียหาย ประชาชนจะเกิดความอึดอัด จนสุดท้ายต้องออกมาไล่รัฐบาล แล้วหากยังแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้เหตุการณ์จะยืดเยื้อ ประชาชนจะตายมากกว่านี้

"ผมอยากจะบอกว่ารัฐบาลไม่ประสีประสาในการทำงาน คิดแต่ว่าจะทำอะไรต้องโปร่งใส ทั้งที่ต้องจับหัวโจกที่เป็นแกนนำทั้งหมดให้ได้ แต่ก็ไม่คิดจะทำ ตั้งแต่คนที่มาชุมนุมยังน้อยอยู่ก็ไม่ฉวยโอกาสปล่อยเวลาให้เลยมาจนถึงวันนี้ นายกฯก็พูดแต่คำว่าเสียใจ ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร เพราะมันแก้ไขอะไรไม่ได้"

น.ต.ประสงค์ กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลจะไปขอเจรจายุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องไม่ควรอย่างยิ่ง รัฐบาลคิดแต่จะเอาตัวรอดเห็นแก่ตัวอย่างมาก โดยไม่คิดถึงบ้านเมืองมันจะรอดหรือไม่ ซึ่งตนอยากฝากทหารว่าหากฝ่ายการเมืองไม่ทำอะไร ก็ขอให้ทหารที่มีหน้าที่ปกป้องรักษาบ้านเมือง หารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะขณะนี้มันเป็นเรื่องของบ้านเมืองไม่ใช่เรื่องการเมือง ที่รัฐบาลจะต้องไปกำกับการทำงานของทหารอยู่ตลอดเวลา ควรให้อิสระทหารในการทำงาน เพราะจริงๆแล้วทหารเขารู้ยุทธวิธีที่จะดำเนินการยึดพื้นที่คืน แต่ติดที่เค้าต้องมาฟังคำสั่งฝ่ายการเมือง จริงๆตนไม่อยากจะพูดว่ารัฐบาลพาทหารไปตาย ดังนั้นรัฐบาลจะต้องคิดใหม่

ยอดปะทะเดือด "ม็อบแดง" - ทหาร ดับ 19 ศพ เจ็บอีก 825 ราย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 เมษายน 2553 11:03 น.

เผยยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ "ม็อบแดง" กับ เจ้าหน้าที่ รวม 19 ราย ทหาร 5 ราย ประชาชน 14 ราย เจ็บ 825 แนะญาติ นำหลักฐานติดต่อขอรับศพที่รพ.โดยตรง

นพ. พิชญา นาควัชระ ผอ.โรงพยาบาลกลาง เปิดเผยถึงยอดผู้บาดเจ็บล่าสุดจากเหตุปะทะระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงและเจ้า หน้าที่ ว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 10 รายโดยหนึ่งในนั้นมีผู้สื่อข่าวต่างประเทศ 1 ราย โดยเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สถานฑูตประเทศญี่ปุ่น ได้เข้ามาติดต่อขอรับศพ ของผู้สื่อข่าวดังกล่าวแล้ว เนื่องจากญาติต้องการนำศพกลับไปบำเพ็ญกุศลโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งตั้งคำถามกับรัฐบาลว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่รัฐประกาศขั้นตอนการใช้อาวุธแต่ก็มาเสียชีวิตด้วยการถูกยิง โดยขั้นตอนจากนี้ เจ้าหน้าที่จะประสานสถาบันนิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตตามขั้นตอนการดำเนินการของผู้เสียชีวิตที่ผิด ธรรมชาติและคาดว่า จะส่งศพตรวจได้ในเช้าพรุ่งนี้

นพ. เพชรพงษ์ กำจรกิจการ ผอ.ศูนย์เอราวัณ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีตัวเลข ผู้บาดเจ็บจำนวน 825 ราย เสียชีวิต 19 รายโดยผู้เสียชีวิต ทั้งหมด เป็นทหาร 5 นาย ประชาชน 14 ราย ซึ่งหากประชาชนราย ใดมีญาติที่เสียชีวิต หรือต้องการสอบถาม สามารถติดต่อได้ที่โรงพยาบาลโดยตรงเนื่องจากขณะนี้ ไม่สามารถให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ได้ ขอให้นำหลักฐาน มาติดต่อได้

อย่างไรก็ตามจากผู้บาดเจ็บเบื้องต้นจำนวน 825 รายนำส่ง รพ.วชิระฯ 159 ราย ร.พ.มิชชั่น 6 ราย ร.พ. พระมงกุฎฯ 215 ราย ร.พ.กลาง 140 ราย ร.พ. รามาฯ 51 ราย ร.พ. หัวเฉียว 59 ราย ร.พ. ศิริราช 34 ราย ร.พ. ตำรวจ 18 ราย ร.พ. จุฬาฯ 6ราย ร.พ. ตากสิน 62 ราย ร.พ.เลิดสิน 8ราย ร.พ. เจ้าพระยา 4 ราย ร.พ. ราชวิถี 8 ราย ร.พ. เจริญกรุงประชารักษ์ 18 ราย และร.พ. พระปิ่นเกล้า 37 ราย

สำหรับรายชื่อผู้เสียชีวิตประกอบด้วย

1. นายอำพล ตติยรัตน์ อายุ 43 ปี ถูกยิงที่ศรีษะ
2. นายยุทธนา ทองเจริญพลพร อายุ 23 ปี ถูกยิงที่ศรีษะ
3.นายไพศาล ทิพยย์ลม อายุ 37 ปี กระโหลกขวายุบ
4. นายสวาท วางาม อายุ 43 ปี มีแผลขนาดใหญ่ที่หน้าผาก
5. Mr.hiroyuki muramoto มีแผลลึกที่ราวนมซ้าย
6. นายธวัฒนะชัย กลัดสุข อายุ 36 ปี มีบาดแผลฉกรรจ์ที่ต้นแขนซ้าย
7. นายทศชัย เมฆงามฟ้า อายุ 44 ปี มีบาดแผลที่อกซ้าย
8. นายจรูญ ฉายแม้น อายุ 46 ปี มีบาดแผลฉกรรจ์ที่สะบักขวา
9. นายวสันต์ ภู่ทอง อายุ 39 ปี มีแผลเปิดที่กะโหลก
10. ชายไทยไม่ทราบชื่อ มีแผลลึกที่สะบักขวา
11.นางคะนึง ฉัตรเทพ
12.พลฯ ภูฑพล ภูริวัฒฯ์ประพันธ์
13. พลฯ อนุพงษ์ เมืองรำพัน
14. พลฯ สิงหา อ่อนทรง
15.พ.อ.ร่มเกล้า ชุวธรรม
16. สอ.จำเนียร
17. นายบุญธรรม ทองผุย
18. นายสมศักดิ์ แก้วสาน อายุ 34ปี
19. นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์

Friday, April 9, 2010

เมื่อ ทักษิณรับว่าเป็น ‘มะเร็ง’ ผ่าน twitter

Date 16 September 2009 - 11:48

เมื่อวานฟังรายการชั่วโมงข่าวของคุณเติม ช่องเอเอสทีวี นิวส์วัน นำเอาบทสนทนาที่คุณสุทธิชัย หยุ่น บอกว่าทักษิณ ชินวัตร มาทักผ่าน twitter ของเล่นใหม่ของคนบางกลุ่ม (แพร่หลายในหมู่แวดวงคนไอทีมาระยะใหญ่ ก่อนจะซา ๆ เพราะฟังก์ชั่นส่ง sms มาประเทศไทยถูกตัด) มาพูดถึง

คุณเติมพูดให้ชวนคิดถึงเรื่องโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ที่เสียงลือเสียงเล่าอ้างกันขรมว่าทักษิณเป็น โดยที่เจ้าตัวออกมาปฏิเสธพัลวันหลายต่อหลายครั้ง

ความที่ไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องชาวบ้าน ก็เลยต้องหาความจริงมา

twitter01

เข้าไปที่ ทวิตเตอร์ของคุณสุทธิชัย แล้วก็ไปยังต้นทางของทักษิณ

คำตอบที่ปลายทางจากคุณสุทธิชัย ซึ่งไม่มีอะไรมากกว่าการนัดหมายสัมภาษณ์แบบเดียวกับการสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ ก่อนหน้านี้

twitter สุทธิชัย

ผมทวนไปหาต้นทางของคำทักทายก็ได้ข้อความอย่างที่คุณเติมเอามาพูดถึง

twitter @thaksinlive

กับประโยคที่ว่า

@suthichai ตัวจริงหรือเปล่าครับ ถ้าตัวจริงก็ต้องคุยกันหน่อย เพราะตอนนี้ผมไม่ได้กินสัตว์เนื้อแดง เลยคิดถึงตอนไปทานอาหารด้วยกันคุณทานเฉพาะปลา

สำหรับผู้ป่วยเป็นมะเร็งจำนวนไม่น้อย หรือคนที่ห่วงใยใส่ใจในสุขภาพ มักได้รับคำแนะนำให้ลดหรือหลีกเลี่ยงการบริโภคสัตว์เนื้อแดง เพราะงานวิจัยจำนวนไม่น้อยแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์โดยตรงของสัตว์เนื่้อ แดงทั้งเป็นปัจจัยเสี่ยงและเป็นตัวกระตุ้นอาการของโรคมะเร็ง สัตว์เนื้อแดงที่ว่าได้แก่ หมู วัว และอื่น ๆ ซึ่งสัตว์เหล่านี้จะหลั่งสารบางอย่างออกมาระหว่างถูกฆ่า

คำแนะนำโดยทั่วไป คือ ให้เลี่ยงไปรับประทานสัตว์เนื้อขาว โดยเฉพาะ ปลา

ทักษิณ ชินวัตร ที่ชอบกินเนื้อ ที่มักพูดถึง “ก๋วยเตี๋ยว เนื้อ” อยู่เสมอ ๆ ในหลาย ๆ ครั้ง จู่ ๆ วันนึงก็ออกมาบอกว่า “ตอน นี้ผมไม่ได้กินสัตว์เนื้อแดง” – ส่วนคุณสิทธิชัย หยุ่น นั้นเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าเป็นโรคมะเร็ง

ซ่อนอะไรก็ซ่อนได้ แต่เมื่อพลั้งเผลอ ตัวเองนั่นแหละครับที่จะหลุดปากไขความลับด้วยตัวเอง ทักษิณจึงหลุดออกมาว่า “ตอนนี้ผมไม่ได้กินสัตว์เนื้อแดง”!!

ป.ล. ส่วนสัตว์เสื้อแดงนั้น ทักษิณยังกินเล่นเป็นของว่าง..ฮา

จาก(J)อภิสิทธิ์ถึง(Q)เปรมเป้าหมายสูงสุด โค่น K

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 10 เมษายน 2553 02:23 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาด ใหญ่ขึ้น




จาก(J)อภิสิทธิ์ถึง(Q)เปรม
เป้าหมายสูงสุดโค่น K
บทพิสูจน์“แดงล้มเจ้า”
แม้ปากของแกนนำคนเสื้อแดงจะสำรากถ้อยคำเพื่อยืนยันว่า พวกเขามาชุมนุมเพื่อทำสงครามชนชั้น ทำสงครามไพร่เพื่อล้มล้างอำมาตย์ และขีดวงคำว่าอำมาตย์ว่าหยุดอยู่ที่ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเท่านั้น แต่เมื่อตรวจดูถึงหลักฐานและประจักษ์พยานแวดล้อมต่างๆ แล้ว พวกเขามิอาจปฏิเสธความจริงได้เลยว่า เป้าหมายสูงสุดของเขาคือ การทำสงครามชนชั้น ทำสงครามไพร่เพื่อล้มล้าง “สถาบันพระมหากษัตริย์”

ตัวอย่างที่ตอกย้ำให้เห็นกันชัดๆ อีกครั้งก็คือ นิตยสารเสียงทักษิณ หรือ Voice of Taksin ฉบับวันที่ 18 ปักษ์แรก เมษายน 2553 หนึ่งในสื่อของคนเสื้อแดงที่ตีพิมพ์ภาพปกด้วยภาพและถ้อยคำที่มีเจตนาที่ชัด แจ้งอย่างยิ่งชนิดว่า เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์
**ถึงเวลาล้ม “คิง”

สื่อของคนเสื้อแดงที่มี “นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข” หนึ่งในแกนนำคนสำคัญของนปช.เป็นบรรณาธิการบริหาร ได้นำภาพ “ไพ่ 3 ใบ” มาขึ้นที่หน้าปก โดยไพ่ใบแรกเป็นไพ่แจ็คโพธิ์ดำและมีการตัดต่อภาพด้วยการนำใบหน้าของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีเข้าไปใส่ ส่วนไพ่ใบที่สองเป็นไพ่ควีนโพธิ์แดงและมีการตัดต่อภาพด้วยการนำใบหน้าของ “พล.เปรม ติณสูลานนท์” เข้าไปใส่

แต่ที่ต้องใช้คำว่าอุบาทว์ก็คือ ไพ่ใบสุดท้ายที่สื่อคนเสื้อแดงเจตนาทำขึ้นเพื่อให้คนอ่านเข้าใจว่า ไพ่ใบสุดท้ายพวกเขาหมายถึงอะไร โดยบริเวณหน้าไพ่ถูกทำเป็นเครื่องหมายคำถาม “สีเหลือง” เพื่อให้คนอ่านตีความไปเองว่า ไพ่ตัวที่อยู่ถัดจากแจ็คโพธิ์ดำและควีนโพธิ์แดงคือใคร

นี่เป็นประจักษ์พยานที่คงไม่ต้องตีความให้วุ่นวาย

เพราะเป็นที่รับรู้กันเป็นสากลว่า ถัดจากแจ็คและควีนแล้ว ไพ่ตัวต่อไปก็คือ “คิง”มิอาจตีความเป็นอย่างอื่นได้

ยิ่งเมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ใช้ในการพาดหัวด้วยแล้ว ยิ่งเห็นชัดเจน เพราะใช้คำว่า “ไพร่ตาสุดท้าย”-“อำมาตย์อัสดง”และ “การต่อสู้ของไพร่ยุคใหม่” โดยเฉพาะคำว่าไพร่ตาสุดท้ายนั้น แสดงให้เห็นว่าเป็นคำพาดหัวที่สอดรับกับภาพกราฟิกไพ่ที่อยู่ด้านบน และเจตนาหลีกเลี่ยงมาใช้คำว่า “ไพร่” แทนคำว่า “ไพ่”

ด้วยเหตุนี้ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบโดยรวมทั้งจากภาพและถ้อยคำที่ใช้ ก็ต้องหมายความว่า เป้าหมายของคนเสื้อแดงก็คือ หลังจากล้มแจ็คอภิสิทธิ์ด้วยการกดดันให้ยุบสภาแล้ว เป้าหมายต่อไปคือการกำจัดควีนโพธิ์แดงเปรม และสุดท้ายคือการล้มไพ่คิง ซึ่งมีความหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างตรงไปตรงมาโดยมิต้องตีความให้ วุ่นวาย

แถมการล้ม “ไพร่ตาสุดท้าย” ของพวกเขา ยังเป็นการล้มชนิดที่ต้องการให้ “เลือดตกยางออก” อีกต่างหาก เพราะภาพที่เสียงทักษิณนำมาประกอบเป็นพื้นด้านหลังก็คือ “ภาพเลือด”

ส่วนจะล้างกันเฉกเช่นการปฏิวัติฝรั่งเศสหรือราชวงศ์โรมานอฟของรัส เซียหรือไม่นั้น ก็คงต้องพิจารณากันต่อไป

คนเสื้อแดงมิอาจปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับนิตยสารฉบับนี้ได้ เพราะทั้งสถานที่ตั้ง ทีมงาน ที่ปรึกษา ล้วนแล้วแต่ระดับตัวเอ้ของคนเสื้อแดงทักษิณ กล่าวคือ สำนักพิมพ์แห่งนี้มีสถานที่ตั้งอยู่ที่ “ศูนย์การค้าอิมพีเรียลลาดพร้าว” ของ “สงคราม กิจเลิศไพโรจน์” ซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ของคนเสื้อแดงและที่ทำการของสถานีดีสเตชั่นก็ตั้ง อยู่ที่อิมพีเรียลลาดพร้าวเช่นกัน

ส่วนทีมงานก็เป็นที่รับรู้กันว่า นักเขียนก็ล้วนแล้วแต่คุ้นชื่อทั้งสิ้น เริ่มจากนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการบริหาร ขณะที่นักเขียนประจำก็ประกอบด้วย “เจ๊เพ๊ญ-จักรภพ เพ็ญแข นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นายสุนัย จุลพงศธร พล.โทมะ โพธิ์งาม ดร.สุดา รังกุพันธุ์ นายสงวน พงษ์มณี นายธเนศ เจริญเมือง และดร.จารุพรรณ กุลดิลก

สำหรับที่ปรึกษาก็ประกอบด้วยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ นายสุทิน คลังแสง นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน และนายสุวิทย์ ทองนวล โดยมีนายสุธรรม แสงประทุมเป็นประธานบริหาร ขณะที่กองบรรณาธิการประกอบไปด้วยนายจักรภพ เพ็ญแข นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ นายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณและนายไชยวัฒน์ ตระการรัตน์สันต์

นอกจากนี้ ในส่วนของเนื้อหาที่อยู่ด้านในก็มีความชัดเจนว่า ล้วนแล้วแต่เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น

บทความหลักของเรื่องที่ใช้ชื่อว่า “ไพร่ตาสุดท้าย” คือสิ่งที่ยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

“การชูประเด็น 'ไพร่' เป็นสัญลักษณ์แทนคนเสื้อแดง ในการต่อสู้เรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยและความเป็นธรรมของแกนนำขบวนการเสื้อ แดง หรือ นปช. เป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์ที่ยังส่งผลมาถึงปัจจุบันว่า ประชาชนไทยวันนี้โดยเฉพาะนักการเมืองที่ถูกยุบพรรคและถูกตัดสิทธิทางการ เมืองทั้ง 111 และ 109 รวมทั้ง 'ทักษิณ' ไม่ต่างอะไรจากไพร่ในอดีตที่ไม่มีสิทธิทางการเมือง และไม่มีแม้แต่สิทธิที่จะเงยหน้าขอความเป็นธรรมจากพระราชา

“หากเหล่าอำมาตย์เกลียดขี้หน้า 'ไพร่' ผู้นั้น การเรียกตัวเองว่า 'ไพร่' ในการขับเคลื่อนทางการเมืองเพื่อต่อสู้กับเหล่าอำมาตย์ที่เบียดบังอำนาจแห่ง พระราชา ในปัจจุบันจึงมีนัยยะสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกถึงอนาคตแห่งการเปลี่ยน แปลงเชิงโครงสร้าง และยิ่งแกนนำ นปช. ใช้กลยุทธ์ 'เลือดนอง' แสดงการร้องขอสิทธิความเสมอภาคทางการเมืองด้วยเลือดของไพร่จึงยิ่งเป็นการ บ่งบอกเชิงสัญลักษณ์ให้เห็นว่า 'ขบวนการไพร่' พร้อมจะเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดถึงขั้น 'นองเลือด'

“ในอนาคตหากเหล่าอำมาตย์และลูกสมุนยังขัดขวางการสถาปนา ระบอบประชาธิปไตยแห่งไพร่ การต่อสู้ครั้งนี้จึงเป็นครั้งสำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์จึงไม่ต่างอะไรกับ การเล่นไพ่ ตาสุดท้ายที่ไพร่ทั้งหลายก็รู้ว่าอำมาตย์มีไพ่อะไรอยู่ในมือ แต่วิวัฒนาการแห่งประวัติศาสตร์ได้เคยบอกแก่เราว่า ไพ่ตาสุดท้ายมีความเจ็บปวดที่ยาวนานและอันตรายเกินกว่าที่ไพร่จะเกรงกลัว และไพร่วันนี้พร้อมจะเล่นไพ่เลือดแล้ว ...” นิตยสารเสียงทักษิณระบุ

เมื่อพลิกต่อไปที่ หน้า 28 กอง บก.นิตยสารเสียงทักษิณก็รายงานถึง กระทู้ในเว็บไซต์ซึ่งเป็นศูนย์รวมของขบวนการล้มเจ้าแห่งหนึ่ง โดยพาดหัวข่าวว่า กระทู้ Hi S รายงานความคืบหน้าอาการป่วยของ xxx ขณะที่เนื้อหาข่าวระบุว่า

“คุณ Hi S มีศิลปะที่จะรายงานโดยตั้งชื่อตัวละครชนิดที่คุณสาธิต วงศ์หนองใน หาเรื่องปิดเว็บและดำเนินคดีทางกฎหมายไม่ได้ แต่เมื่อเห็นชื่อตัวละคร และคิดสักนิดด้วยคำผวนบ้างด้วยสัญลักษณ์บ้างจะเข้าใจและตามมาด้วยเสียง หัวเราะ เช่น ชื่อตัวละคร 'จ่าห้าว' และ 'น้องถั่ว' รวมตลอดทั้งข้อมูลที่ Hi S ว่าเป็นเพียงนิยายแต่ผู้อ่านกลับเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะข้อมูลจากวรรณกรรมของ Hi S ที่หลุดออกมาสู่โต๊ะข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ นั้นเป็นเรื่องจริง ข่าวเจาะลึก VOT ทราบมาว่า Hi S เป็นคนวงในที่เรียกว่า 'ในรั้ว xxx' และอึดอัดต่อเหตุการณ์บ้านเมืองและความเน่าเฟะของบางครอบครัวในประเทศนี้ ที่ลวงสังคมปิดหูปิดตาผู้คนมายาวนาน ...”

และปิดท้ายกันที่บทความที่ใช้ชื่อว่า “มุสตาฟา เคมาล อตาเตอร์ก นักปฏิวัติผู้ก่อร่างสร้างรัฐสมัยใหม่ให้แก่ตุรกี” ซึ่งแม้จะได้ได้ขยายความให้เห็นว่า มีเป้าประสงค์ใดในการนำเสนอ หากแต่เมื่ออ่านเนื้อหาโดยรวมก็จะเห็นชัดเจนว่าต้องการนำไปเปรียบเทียบกับ นายใหญ่ของคนเสื้อแดง

ยกตัวอย่างเช่น เนื้อหาตอนหนึ่งที่ระบุว่า “เขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งของขบวนการยังเตอร์กในการก่อการปฏิวัติโค่น ล้มอำนาจของกษัตริย์อับดุลฮามิดที่ 2 แห่งออตโตมาน” หรืออีกตอนหนึ่งที่เขียนเอาไว้ว่า “มุสตาฟา เคมาลรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของของสาธารณรัฐเมื่อปี 1934 และทุกคนในประเทศตุรกีก็ขนานนามของเขาว่ามุสตาฟา เคมาล อตาร์เตอร์ก(อตาเตอร์กเป็นภาษาตุรกีที่แปลว่า บิดาแห่งชาวตุรกี)”
**เสียงทักษิณ-ชูพงษ์ ถี่ถ้วน-นปช.USAคนครอกเดียวกัน

นอกจากนี้ เรื่องที่ประจวบเหมาะที่สะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของคนเสื้อแดงอีกประการหนึ่งก็ คือ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าจับกุม “นายธันย์ฐวุฒิ” หรือ “หนุ่ม ทวีวโรดมกุล” อายุ 38 ปี คาอาคารอัสสกานต์คอนโดมิเนียม เขตบางกะปิ กทม.ในฐานะผู้ดูแลเว็บไซต์นปช.USA เจ้าของสมญา “เรดอีเกิ้ล” หรืออินทรีแดง โทษฐานนำรายการทางออกประเทศไทยของนายชูพงษ์ ถี่ถ้วนที่มีเนื้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 1 เม.ย.

รายการนี้นอกจากเผยแพร่ทางเว็บไซต์แล้ว ยังถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนลด้วย!

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาไปฝากขัง ซึ่งหลังจากศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังตามคำร้อง และให้ส่งตัวผู้ต้องหาไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ คำร้องฝากขังสรุปว่า ผู้ต้องหาใช้ชื่อนามแฝง ว่า “เรดอีเกิ้ล” หรืออินทรีแดง เป็นเจ้าของหรือผู้ดูแลเว็บไซต์ www.norporchorusa.com และ www.norporchorusa2.com ซึ่งมีการโพสต์ข้อความจาบจ้วง และอาฆาตมาดร้าย ต่อสถาบันเบื้องสูง ตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00 น.วันที่ 13-15 มี.ค.53 ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปอท.จะติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ ที่ห้องพักเลขที่ 803 อาคารอัสสกานต์คอนโดมิเนียม ตั้งอยู่เลขที่ 19/50 อาคาร 9 ซอยรามคำแหง 107 หรือซอยวัดศรีบุญเรือง ถนนสุขาภิบาล 3 แขวงลาดพร้าว เขตบางกะปิ กทม.พร้อมของกลางหลายรายการ เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ

และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ รายการทางออกประเทศไทยที่มีเนื้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์นั้น เป็นรายการของ “นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน” และนายชูพงษ์คนเดียวกันนี้เองก็เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของนิตยสารเสียงทักษิณ อีกด้วย

เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงเป็นคนในครอกเดียวกัน

“คำนูณ สิทธิสมาน” ส.ว.สรรหา ได้เขียนถึงนายชูพงษ์เอาไว้ในคอลัมน์ที่ตั้งชื่อ “นปช.USA + ชูพงษ์ ถี่ถ้วนกับวาทกรรม ‘รถไฟขบวนเดียวกัน’ !” เอาไว้ว่า “นายชูพงษ์ ถี่ถ้วนดังขึ้นมาจากการจัดรายการวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดง จนได้เข้าเป็นแกนนำ นปช.รุ่น 2 ในอดีตเขาเป็นศิษย์อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เคยต้องหาจำคุกในคดีสภาปฏิวัติมาแล้ว สี่ห้าเดือนมานี้เขาเดินทางออกจากประเทศไปพำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกา ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองกับกลุ่ม นปช.USA ที่มีเนื้อหาวิพากษ์และบริภาษสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง ปรากฏเป็นคลิปเสียงในเว็บไซต์ นปช.USA จำนวนมาก เพราะเขามีรายการวิทยุทางอินเทอร์เน็ตทุกวัน แม้ตัวจะอยู่อเมริกา แต่คลิปเสียงแพร่ไปทั่วยิ่งกว่าหญ้าหน้าฝน ซีดี “อาจารย์ชูพงษ์” หรือ “ชูพงษ์ เปลี่ยนระบอบ” เป็นที่นิยมอย่างยิ่งในหมู่คนเสื้อแดง ในโลกไซเบอร์วันนี้ นอกจากคลิปเสียงและรายการวิทยุออนไลน์ของนายชูพงษ์ ถี่ถ้วนแล้ว ยังมีทั้งภาพและเนื้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ในนาม นปช.USA อีกมาก”

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า นายชูพงษ์เป็นคนปักษ์ใต้ อาชีพเก่า คือ คนขับแท็กซี่ ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุชุมชน แจ้งเกิดในเวทีม็อบครั้งแรกจากเวทีม็อบเชียร์ทักษิณ ในช่วงต้นปี 2549 โดยเดินดุ่ม ๆ ไปขอขึ้นเวทีปราศรัยไฮด์ปาร์กเชียร์ระบอบทักษิณ ที่สวนจตุจักร ซึ่งมีกลุ่มคาราวานคนจนของนายคำตา แคนบุญจันทร์ เป็นแกนนำ ร่วมกับนายชินวัฒน์ หาบุญพาด

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2549 นายชูพงษ์คนนี้ยังได้จับมือกับนายชินวัฒน์ หาบุญพาดเข้าไปร่วมเป็นแกนนำในกลุ่มคาราวานคนจนของนายคำตา แคนบุญจันทร์ที่ พาม็อบไปปิดล้อมสำนักพิมพ์เนชั่น-คมชัดลึกอย่างป่าเถื่อน ทำให้ถูกแจ้งความดำเนินคดีอาญา ตอนนี้ คดียังค้างอยู่ที่ศาล

และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ครั้งหนึ่งนายชูพงษ์เคยทำงานกับ"พ่อใหญ่จิ๋ว" แต่ตอนหลังก็ถอยห่างออกมา
**”คางคกเหิม”พาดพิงสตรีสูงศักดิ์

และยิ่งเมื่อนำมาเชื่อมโยงให้เห็นถึงคำพูดของ “นายจตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคนสำคัญของม็อบเสื้อแดง ก็จะเห็นชัดเจนถึงเป้าประสงค์ในการเคลื่อนไหวของพวกเขาว่า แท้ที่จริงแล้วต้องการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องการช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นผิด โดยที่ไม่มีเหตุผลอื่นในการเจือปนแต่อย่างใด

ไม่เช่นนั้นแล้ว คงไม่มีการเอ่ยชื่อของ “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ” รองราชเลขาธิการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ “คุณหญิงทิพยา ยังพัฒนา หรือ คุณหญิงดารา” คุณข้าหลวงในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ บนเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์เมื่อค่ำคืนของวันที่ 6 เม.ย.อย่างเด็ดขาด

และเป็นการเอ่ยนามที่ต้องบอกว่าเจตนา มิใช่บังเอิญหรือพลาดพลั้งหลุดปากออกมา และที่สำคัญคือนายจตุพรยังเจตนาที่ จะนำเรื่องนี้มาพูดบนเวทีของคนเสื้อแดงในวันที่ 6 เม.ย.ซึ่งเป็นวันจักรีอีกต่างหาก
ดังนั้น จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วพวกเขาก่อม็อบเพื่อต้องการกดดันสถาบัน และคู่ต่อสู้ของเขาไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นายอภิสิทธิ์หรือพล.อ.เปรมเท่า นั้น หากแต่เป็น “บุคคล” สำคัญเพียง “คนเดียว” เท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของคนเสื้อแดงและ “นช.ทักษิณ” ได้ ดังเช่นที่ “นายชุมพล ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา วิเคราะห์และให้สัมภาษณ์เอาไว้ในรายการ “เจาะลึกทั่วไปอินไซด์ไทยแลนด์” ของ “นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์” ทางวิทยุเอฟเอ็ม 97.0 เมกะเฮิรตซ์ เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา

คงไม่ต้องตีความกระมังว่า บุคคลสำคัญเพียงคนเดียวที่นายจตุพรพูดถึงหมายถึงใคร

“นางกาญจนี วัลยะเสวี” แกนนำเครือข่ายประชาสังคมหยุดระบอบทักษิณ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า “เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย เพราะคุณหญิงท่านนั้นเป็นสุภาพสตรีที่กิริยาเรียบร้อย ไม่มีพฤติกรรมแบบนั้นเด็ดขาด เป็นคนถ่อมตนมีชีวิตอย่างสมถะ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่เคยแอบอ้างสถาบัน ทั้งที่เป็นผู้ที่ติดตามรับใช้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อย่างใกล้ชิดมานาน ท่านไม่ควรจะมาถูกการเมืองโจมตีแบบนี้”

...สุดท้าย คำถามที่เกิดขึ้นก็คือว่า คนเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมทราบหรือไม่ว่า เป้าหมายในการทำศึกครั้งนี้คือการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์

ถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ อาจต้องตอบว่า มีเพียงบางส่วนเท่านั้น ขณะที่ส่วนใหญ่มาโดยไม่ทราบความเป็นจริง ถูกหลอกมาบ้าง เข้ามาร่วมชุมนุมเพราะอามิสสินจ้างที่ได้รับ

แต่ ณ ห้วงเวลาปัจจุบันหลังจากที่พวกเขามาร่วมชุมนุมใหญ่ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศและ เคลื่อนขบวนมาปักหลักที่สี่แยกราชประสงค์ คำตอบข้างต้นคงต้องเปลี่ยนแปลงไป และคงสามารถเหมารวมได้ว่า พวกเขาคือส่วนหนึ่งของขบวนการล้มเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว

“ไอ้ตู่” สุดด้าน!! ประกาศชัยชนะ ยึดไทยคม-ตะเพิดทหารสำเร็จ



ดูวีดีโอประกอบจาก Manager Multimedia
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 เมษายน 2553 16:19 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาด ใหญ่ขึ้น
กลุ่มคนเสื้อแดงหยามหนักชี้หน้า ด่าทหาร จนในที่สุดเจ้าหน้าที่ถอยร่นกลับไป

“ไอ้ตู่” สุดด้าน!! ประกาศชัยชนะเสื้อแดง หลังเข้ายึดไทยคมสำเร็จ อีกทั้งยังไล่ตะเพิดทหารพ้นพื้นที่ ล่าสุด กลุ่มคนเสื้อแดงนั่งล้อมสถานีดาวเทียมไทยคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าไปในอาคารได้ เนื่องจากมีระบบป้องกันดี
      

       วันนี้ (9 เม.ย.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ประกาศชัยชนะต่อผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงบนเวทีรถบรรทุกกระจายเสียง ที่สถานีดาวเทียมไทยคม อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ทันทีหลังกลุ่มคนเสื้อแดงสามารถบุกเข้าไปภายในสถานีดาวเทียมไทยคมได้เป็นที่ เรียบร้อย
     
       โดยก่อนหน้านี้ ได้เกิดเหตุกระทบกระทั่งกันระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย กับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ทำให้มีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ 2 คน ซึ่งมีการนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว ทั้งนี้ ทหารในพื้นที่ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้น
     
       สำหรับบรรยากาศการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่สถานีดาวเทียมไทยคมขณะนี้ แกนนำยังสามารถควบคุมอารมณ์ของผู้ชุมนุมไม่ให้เกิดความรุนแรงได้ หลังจากก่อนหน้า มีการบุกเข้าไปภายในบริเวณรั้วของสถานีดาวเทียมไทยคม จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
     
       ทั้งนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงยังไม่สามารถเข้าไปภายในอาคารสถานีดาวเทียมไทยคมได้ เนื่องจากระบบในอาคารของสถานีไทยคม มีมาตรการป้องกันค่อนข้างดี ส่วนเจ้าหน้าที่เริ่มถอนกำลังบ้างแล้ว
     
       ล่าสุด กลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มก่อความวุ่นวาย โดยพยายามปาก้อนหินขับไล่ทหาร แต่โชคไม่เข้าข้างหล่นใส่หัวพวกเดียวกัน ทำให้มีผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงบาดเจ็บไปหลายราย ทั้งนี้ แกนนำคนเสื้อแดงประกาศ ภายในเวลา 16.00 น.ทหารจะต้องถอยกำลังพ้นจากสถานีดาวเทียมไทยคม และเปิดสัญญาณสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนลทันที