Sunday, April 11, 2010

ทหารลอยแพมาร์ค เมินสลายม็อบกลับกรม/แดงโหนศพตระเวนทั่วกรุง

By thaipost
Created 12 Apr 2553 - 00:00

"ขุนทหาร" ลอยแพ "อภิสิทธิ์" ลั่นไม่สลายม็อบไพร่อีก ชี้ 10 เมษาวิปโยคเพราะการเมืองแทรกจนสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย สั่งทหารกลับกรมกองเหลือเพียงสถานที่สำคัญ พรรคร่วมรัฐบาลขย่มซ้ำ ยื่นเงื่อนไขแก้รัฐธรรมนูญ เจรจารอบ 3 หาทางออก "เทือก" ยอมฮาราคีรีเพื่อสังเวย "แดง" ได้ทีเตรียมโหนคนตาย นัดแห่ศพรอบกรุงบนถนนสำคัญ หวังประกาศศักดาทั่วโลก
การปะทะกันอย่างรุนแรงเมื่อวันเสาร์ของทหารและกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทำให้มีผู้ เสียชีวิตถึง 21 คน และบาดเจ็บกว่า 800 คน ยังสร้างผลสะเทือนต่อกลุ่มผู้ชุมนุมและรัฐบาลอย่างต่อเนื่องในวันอาทิตย์
โดยบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศและ แยกราชประสงค์ ยังคงมีผู้ชุมนุมนั่งปักหลักฟังปราศรัยอยู่แต่ค่อนข้างบางตา ในขณะที่อารมณ์ของผู้ชุมนุมส่วนใหญ่มีสีหน้าเศร้าสลดใจอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่โดยรอบบริเวณการชุมนุมไม่ปรากฏทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนรักษาการณ์ แต่อย่างใด แตกต่างจากการ์ด นปช.ที่รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจำนวนมาก
และในการปราศรัยบนเวทีส่วนใหญ่แกนนำต่างกล่าวแสดงความเสียใจแก่ผู้ที่ได้รับ บาดเจ็บ เสียชีวิต รวมทั้งได้เชิดชูว่าเป็นผู้ต่อสู้เพื่อทวงประชาธิปไตยกลับคืนมา พร้อมทั้งประณามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยใช้คำว่า ทรราช และนายกฯ มือเปื้อนเลือด รวมทั้งมีการประกาศรายชื่อบุคคลที่สูญหายไปเป็นระยะๆ และได้กระตุ้นผู้ชุมนุมให้มาร่วมเวทีอย่างต่อเนื่องเพราะอาจมีการสลายการ ชุมนุมรอบ 2
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง ได้ยืนยันถึงเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ว่า ไม่ใช่การขอพื้นที่คืน แต่เป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ เป็นการเห็นแก่ได้และอำมหิตเกินไป จึงอยากฝากถามนายอภิสิทธิ์ว่า ต้องการให้ประชาชนเสียสละชีวิตอีกกี่ชีวิตท่านจึงจะสละคืนอำนาจให้ประชาชน ขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาทันที และออกนอกประเทศ หากดึงดันอยู่ต่อไปก็มีแต่จะเพิ่มจำนวนศพ
"ยืนยันปักหลักสู้โดยสันติวิธีต่อไปจนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ หากต้องการเอาพื้นที่คืน จะต้องการชีวิตคนเสื้อแดงอีกกี่คนขอให้บอกมา นายอภิสิทธิ์อยู่ในฐานะนายกฯ ไม่ได้อีกแล้ว หากไม่ตัดสินไม่ยุบสภาเราก็พร้อมนำร่างผู้เสียชีวิตตามไปเรียกร้องความ ยุติธรรม ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม เราก็ต้องไป" นายณัฐวุฒิกล่าว และว่า ในวันที่ 12 เม.ย. จะแห่ศพผู้เสียชีวิต 14 รายไปรอบกรุงเทพฯ เพื่อประกาศศักดาให้ชาว กทม. ประชาชนทั้งประเทศและทั่วโลกได้รับรู้
เขายังได้ปฏิเสธกรณีการเสียชีวิตจำนวนมากมีสาเหตุมาจากเอ็ม 79 ว่า ไม่ใช่แนวทางของกลุ่มคนเสื้อแดง และขอปฏิเสธความรับผิดชอบว่ากลุ่มคนสื้อแดงเป็นคนทำ ส่วนจะเป็นมือที่สามหรือสี่หรือไม่ ไม่ทราบ แต่ไม่ใช่ฝีมือของคนเสื้อแดง และขอเรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยไร้ความแค้นเข้ามาเกี่ยวข้อง

แห่ศพถนนหลักกรุงเทพฯ
นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนรักอุดร ระบุว่า หากนายอภิสิทธิ์ยังไม่ยอมยุบสภา ก็ต้องเพิ่มแรงกดดัน โดยอาจนำศพผู้ชุมนุมแห่ไปหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์และบ้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อประจานกรณีทหารฆ่าประชาชน
ในช่วงค่ำ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง ปราศรัยบนเวทีผ่านฟ้าฯ ยืนยันว่ากิจกรรมในวันที่ 12 เม.ย. เวลา 10.00 น.จะแถลงข่าว และจัดขบวนแห่สดุดีวีรชนใหญ่บนถนนสำคัญของกรุงเทพฯ แต่ยังไม่บอกจุดหมายปลายทาง
ในขณะที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้แสดงความคิดเห็นถึงเหตุการณ์เมื่อค่ำวันที่ 10 เม.ย.ว่า การที่ทหารออกมาปราบครั้งนี้ ถือเป็นอาชญากรสงคราม ต้องโทษตามกฎหมาย ซึ่งมีอายุความ 20 ปี ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ และจะเหมือนสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม
"ความผิดของ ผบ.ทบ.คือใช้คนซุ่มยิงที่บนหลังคาตึกโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งสาเหตุที่คนตายจำนวนมากเพราะพลซุ่มยิงได้ยิงลงมาใส่ประชาชนก่อน ทำให้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายหรือนักรบโรนินยิงตอบโต้ บังเอิญลูกระเบิดเอ็ม 79 ลูกแรกที่ยิงเข้าไปตกเต็นท์ทหารข้างโรงเรียนสตรีวิทยาที่ใช้เป็นกองบัญชาการ รบครั้งนี้ ทำให้โดน พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.2.รอ.) ซึ่งเป็นแม่ทัพในการทำศึกครั้งนี้บาดเจ็บสาหัสและโดนนายทหารชั้นสัญญาบัตร หลายคนก็บาดเจ็บ ทำให้การศึกครั้งนี้ไม่มีคนสั่ง ไม่มีแม่ทัพ ไม่มีคนบัญชา ทำให้ทหารปราชัยถอยออกไป" พล.ต.ขัตติยะระบุ
พล.ต.ขัตติยะกล่าวต่อว่า การเข้าตีของทหารปกติต้องทำก่อนสว่างอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ซึ่งการเข้าตีช่วงกลางคืนนั้นถือเป็นการกระทำที่ผิดวิธี ผบ.ทบ.ต้องตอบคำถามให้ได้ ทำไมเอาทหารมารบกับคนไทย รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ก็ต้องยุบสภา เหตุการณ์ถึงจะสงบลง เพราะวันนี้คนเสื้อแดงยึดปืนได้หมด หากทหารจะเข้ามาสลายการชุมนุมอีกครั้งจะมีคนตายมากกว่าเก่าเป็นร้อยเท่า เพราะเขามีปืนกลมีปืนต่อสู้อากาศยานที่สามารถยิงเฮลิคอปเตอร์ได้
สอดคล้องกับนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รักษาการโฆษกรัฐบาล ที่กล่าวชี้แจงผ่านโทรทัศน์ทุกช่องในช่วงบ่ายว่า การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่จะให้กลับมายังที่ตั้งหรือหน่วยเพื่อปรับกำลังพล ตรวจสอบความพร้อม อุปกรณ์และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกขโมย ตรวจสอบบัญชีอาวุธที่หายไป และติดตามกลับคืนเข้ามา และขณะนี้มีการรวบรวมหลักฐานข้อเท็จจริงเบื้องต้น รวมทั้งภาพถ่ายจากทางหลายฝ่าย ส่งเข้ามาโดยทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จะดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงว่าอะไรเกิดขึ้นในห้วงเวลาเย็นและค่ำวันที่ 10 เม.ย.

แฉอาวุธสงครามเพียบ
"เบื้องต้นพบว่ามีการใช้แก๊สน้ำตาชนิดยิง และพบว่ามีระเบิดหลายชนิดทั้งเอ็ม 79 เอ็ม M 67 ปืนกล อาก้าหรือเอชเค หรืออาวุธที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเองเช่นไม้ การใช้ปืนกลยังได้พบการบันทึกภาพว่ามีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่ทหารรวบ รวมอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมและมีปืนกลอยู่ด้วย ภาพต่างๆ เหล่านี้จะนำทยอยออกมาให้สาธารณชนรับทราบ" นายปณิธานกล่าว
ส่วน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ทบ. ในฐานะโฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ศอฉ.พร้อมรับการตรวจสอบ เพราะในที่ประชุมระดับผู้บังคับการทุกหน่วยต่างยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ทุกนายปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด ไม่มีการยิงเข้าใส่ประชาชนด้วยกระสุนจริง หรือทำในสิ่งที่เกินกว่าเหตุ
"เหตุการณ์ชุลมุน ทหารไม่ได้บุกเข้าหาผู้ชุมนุมก่อน แต่เกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุมต้องการไล่ทหารให้ออกจากพื้นที่จึงเดินเข้าหาทหาร ซึ่ง ศอฉ.มีภาพบันทึกไว้หมด รวมถึงมีคนเห็นว่ามีการบยิงระเบิดและกระสุนยิงมาจากไหน" พ.อ.สรรเสริญกล่าว และว่า ศอฉ.ได้ให้มีการตรวจสอบอาวุธที่สูญหายและถูกยึดไปโดยด่วน เพราะเกรงว่าจะมีการนำไปสร้างสถานการณ์และโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่

ทหารพ้อถูกส่งไปตาย
พ.อ.สรรเสริญยังกล่าวถึงการปฏิบัติการต่อไปว่า ต้องรอนโยบายจากรัฐบาล ซึ่งการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่จะเป็นไปตามหลักสากล และไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิต แต่ผู้ชุมนุมบางส่วนใช้อาวุธกระสุนจริง ระเบิดเอ็ม 79 เอ็ม 67 หากเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าเราส่งเจ้าหน้าที่ไปได้รับบาดเจ็บ เท่ากับว่าส่งไปตาย จึงต้องมีความชัดเจนในการดำเนินการว่าจะให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างไร
สำหรับนายทหารระดับสัญญาบัตรที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุปะทะกันที่บริเวณ แยกคอกวัว อาทิ พล.ต.วลิต ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร 2 รอ.) ได้บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดเอ็ม 79 ส่งผลให้ขาหัก 3 ท่อน, พ.อ.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ (ร.12 พัน 2) ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่สมองซีกขวา จนทำให้ต้องมีการผ่าตัดเปิดสมอง และ พ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ ผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ (ม.พัน 3 รอ.) โดนสะเก็ดระเบิดส่งผลให้รับบาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้าง
ในขณะที่สื่อต่างประเทศหลายสำนักก็มีภาพข่าวบุคคลถืออาวุธสงคราม โดยเฉพาะภาพสำนักข่าวอัลจาซีเราะห์ได้เผยแพร่ภาพชายสวมชุดดำ ใส่หมวกไหม พรม ถืออาวุธปืนอาก้าและเอ็ม 16 ในขณะที่เอ็นบีทีก็ได้เผยแพร่การยิงกระสุนจากบนตึก รวมทั้งการยิงปืนอาก้าใส่เจ้าหน้าที่ด้วย
และในระหว่างการชุมนุมในวันที่ 11 เม.ย.นั้น กลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้มีการเคลื่อนไหวไปยัง 2 พื้นที่ โดย นปช.ประมาณ 400 คนได้ไปปิดล้อมบ้านพักนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ซอยจรัญสนิทวงศ์ 57 เพื่อเรียกร้องให้ถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล และได้มอบจดหมายเปิดผนึก โดยจะมารอคำตอบภายใน 3 วัน ซึ่งก็ไม่มีเหตุรุนแรงแต่อย่างใด

ยึด"พีทีวี"คืนอีกรอบ
ส่วนอีกแห่งหนึ่งนั้น นปช.กว่า 1,000 คน นำโดยนายชูชีพ หาญสวัสดิ์ ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ แกนนำ นปช. ได้เคลื่อนขบวนมาปิดล้อมสถานีบริการภาคพื้นดินดาวเทียมไทยคม อ.ลาดหลุมแก้ว เพื่อเรียกร้องให้มีการเปิดสัญญาณออกอากาศของสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชนแนล ท่ามกลางการตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 300-400 นาย โดยผู้ชุมนุมที่ทนรอการเจรจาไม่ไหวได้มีการพังรั้วเข้าไป แต่ไม่มีเหตุรุนแรงแต่อย่างใด และในที่สุดก็สามารถเจรจาให้เชื่อมต่อสัญญาได้ โดยกลุ่มคนเสื้อแดงยังขอปักหลักเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไปเพื่อป้องกันทหารกลับมา ตัดสัญญาณ
ในขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ที่ลาดหลุมแก้วได้เข้ายึดรถถ่ายทอดของโม เดิร์นไนน์ทีวีและทีวีไทย รวมทั้งกล้อง เนื่องจากระบุว่าไม่พอใจที่รายงานข่าวไม่เป็นกลาง โดยบอกว่าจะนำกลับไปบริเวณการชุมนุมสี่แยกราชประสงค์ แต่เมื่อเจรจาพักใหญ่กลุ่มคนเสื้อแดงก็คืนให้ทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์การไม่ลงรอยกับสื่อยังเกิดขึ้นบนเวทีผ่านฟ้าฯ อีก เมื่อนายสมชาย ไพบูลย์ แกนนำ นปช. ได้ปราศรัยบนเวทีโจมตีสื่ออย่างดุเดือด รวมทั้งขับไล่ไม่ให้ทำข่าว ทำให้สื่อมวลชนพร้อมใจกันบอยคอต โดยระหว่างการออกจากพื้นที่รถถ่ายทอดของช่อง 3 ก็ถูกปาอิฐใส่จนทำให้กระจกแตกและคนขับได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.ต้องรีบขึ้นเวทีชี้แจงที่ราชประสงค์ว่า เกิดจากอารมณ์ค้าง และได้เรียกร้องอย่าทำร้ายสื่อสมวลชน เพราะเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ และสื่อก็เป็นพันธมิตรของคนเสื้อแดง
ยังมีเหตุที่เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฝั่งธนบุรี เมื่อคนเสื้อแดงกว่า 1,000 คน พร้อมไม้หน้าสามได้ยืนกระจายตัวอยู่บนสะพานและเชิงสะพานเมื่อมีข่าวว่าทหาร จะมานำรถที่ถูกทำลาย 17 คันบนสะพานดังกล่าวกลับคืน แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด โดยระหว่างนั้นกลุ่มคนดังกล่าวก็ได้ทุกทำลายกระจกและรถทุกคันจนไม่สามารถใช้ การได้ก่อนเดินทางกลับสะพานผ่านฟ้าฯ
สำหรับกรณีนายทหาร 4 นายที่ถูกกลุ่มคนเสื้อแดงจับตัวไปนั้น เมื่อเวลา 14.30 น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ได้เดินทางมารับที่บริเวณเต็นท์ด้านหลังเวทีปราศรัยสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยมีนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย และนายพายัพ ปั้นเกตุ แกนนำกลุ่ม นปช.เป็นผู้มอบส่ง พร้อมกับทำบันทึกว่าทหารทั้ง 4 นายไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ในเวลา 18.00 น. นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ พร้อมแกนนำ นปช. เดินทางมาขึ้นเวทีสะพานผ่านฟ้าฯ เพื่อร่วมพิธีศพของผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ โดยมีการเคลื่อนศพจากสะพานผ่านฟ้าฯ ไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งมีรถจักรยานยนต์บีบแตรนำขบวนเคลื่อนศพ โลงแรกเป็นโลงสีขาวคลุมธงชาติ อีก 2 โลงเป็นสีแดง โดยเคลื่อนศพทั้งสามไปตั้งบนอนุสาวรีย์ฯ ส่วนโลงสีแดงอีก 14 โลง วางเรียงอยู่บนฐานอนุสาวรีย์ ฯ จากนั้นนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ได้เป็นประธานในพิธีสวดพระอภิธรรม
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ศอฉ. ระบุถึงเหตุการณ์ว่า การชุมนุมมีภาพซ้อนหลายมิติ แฝงกันมาหลายกลุ่ม ซึ่งจะทราบกันหรือไม่ตอบไม่ได้ แต่ว่าวันข้างหน้าในการสืบสวนก็จะชัดเจนเอง คนที่แฝงมามีอาวุธสงคราม ทั้งปืนอาก้า เอ็ม 16 เอ็ม 79 พอได้จังหวะยิงเข้ามาใส่ ซึ่งได้ติดตามดูจากการถ่ายทอดสื่อมวลชน และที่ประชาชนส่งมา บางภาพยิงถูกผู้ชุมนุมกันเอง บางภาพยิงถูกประชาชนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย บางภาพก็ยิงทหาร มันทำให้เกิดการสูญเสีย ในฐานะคนที่รับผิดชอบขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้ที่ต้องสูญ เสีย ไม่ว่าพลเรือน ทหาร และผู้สื่อข่าว

เทือกชี้โหดเหี้ยมอำมหิต
"เหตุการณ์เมื่อวันเสาร์เกินการคาดการณ์กว่าที่คิดไว้จริงๆ ผมไม่คิดว่าคน ไทยด้วยกันจะโหดเหี้ยมอำมหิตกันอย่างนี้ และทำร้ายพี่น้องร่วมชาติ ทำร้ายประเทศ ก็น่าเสียใจ" นายสุเทพกล่าว
ถามว่ามีการตรวจสอบเชิงลึกอาวุธที่นำมาจากสมุทรปราการหรือไม่ นายสุ เทพกล่าวว่า จากการข่าวบอกว่ามีมาจากสมุทรปราการและสุรินทร์บ้าง โดยได้ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปสอบสวนแล้ว นายสุเทพยังยืนยันถึงสายสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลว่า เข้าใจกันดี เพราะทุกขั้นตอนได้ชี้แจงให้รับทราบและปรึกษาหารือกันตลอดแม้ในวันที่ประกาศ พระราชกำหนดฯ เช่นเดียวกับผู้นำเหล่าทัพที่เข้าใจกันดีอยู่ด้วยกันตลอดเวลา
"ไม่มีปัญหา ถ้าทำอะไรให้ประเทศคืนสู่ความสงบความเรียบร้อยได้ ยินดีไม่มีปัญหา" นายสุเทพตอบคำถามเรื่องหากต้องเสียสละเพื่อเคลียร์กรณีนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายสุเทพกล่าวแสดงความเสียใจที่มีทหารเสียชีวิตนั้น นายสุเทพมีน้ำตาคลอเบ้า และแสดงอาการเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ท่ามกลางข่าวเหตุการณ์การปะทะนั้น ก็มีข่าวลือเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้เสียชีวิตลงแล้ว ซึ่งนายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมาปฏิเสธ โดยระบุว่าเป็นเพียงข่าวลือ เพราะยังมีสุขภาพแข็งแรง รวมทั้งได้ปฏิเสธข่าวการเป็นมะเร็งด้วย ในขณะที่เวทีความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงก็มีประกาศข่าวการเสียชีวิตของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเช่นกัน

ทหารลอยแพมาร์ค
แหล่งข่าวนายทหารระดับสูงกล่าวว่า การปะทะเมื่อวันที่ 10 เม.ย. จนเกิดการสูญเสียประชาชนและทหารนั้น ถือเป็นการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดของรัฐบาล เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ต้องการให้กำลังเจ้าหน้าที่ดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย จึงสั่งให้กองทัพยึดคืนพื้นที่สะพานผ่านฟ้าฯ โดยได้ย้ำไม่ให้กำลังทหารที่ออกปฏิบัติหน้าที่ใช้อาวุธปืนและกระสุนจริง แต่ให้มีเพียงโล่ กระบอง อาวุธปืนที่บรรจุกระสุนยาง แต่ผู้ที่สามารถถือปืนบรรจุกระสุนจริงมีเพียงนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน และผู้บัญชาการกองพลเท่านั้น ทำให้ผู้ชุมนุมไม่มีความเกรงกลัวและทำให้การปฏิบัติหน้าที่ไม่บรรลุตามเป้า หมาย
"นายทหารระดับสูงของกองทัพคุยกันแล้วว่า หากมีคำสั่งให้ทหารออกไปปฏิบัติภารกิจในลักษณะดังกล่าวอีก คงต้องปฏิเสธ เพราะเห็นตรงกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาด นายกฯ ต้องการบังคับใช้กฎหมาย แต่สภาพการทำงานไม่สามารถคุมเหตุการณ์ได้ โดยหากจะให้ทหารเข้าคุมพื้นที่ก็ต้องให้อาวุธเขาเพื่อทำให้น่าเกรงขาม แต่กองทัพยังคงทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐบาล ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองจะหาทางออกอย่างไร คงต้องปล่อยให้ฝ่ายการเมืองแก้ไขวิกฤติเอง ซึ่งขณะนี้ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งให้ทหารกลับเข้ากรมกองแล้ว" นายทหารระดับสูงกล่าว
แหล่งข่าวบอกด้วยว่า กองทัพไม่ได้ส่งสัญญาณให้นายกฯ ยุบสภา หรือลาออก แต่ส่งสัญญาณว่าเจ้าหน้าที่ทหารจะไม่ออกไปปฏิบัติภารกิจเหมือนวันที่ 10 เม.ย.อีก และ ผบ.เหล่าทัพได้เสนอให้ใช้กำลังตำรวจไปดูแลบริเวณการชุมนุมที่บริเวณผ่านฟ้า ลีลาศเท่านั้น ส่วนทหารจะดูแลสถานที่ราชการสำคัญเท่านั้น โดยเฉพาะพื้นที่ล่อแหลมสุ่มเสี่ยงทั้งทำเนียบรัฐบาล อาคารรัฐสภา สวนจิตรลดา โรงพยาบาลศิริราช บ้านพัก พล.อ.เปรม
แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) รวมถึงหน่วยข่าวทางด้านการทหาร ได้รายงานต่อที่ประชุม ศอฉ.แล้วว่าจะมีกลุ่มติดอาวุธปะปนเข้ามาก่อเหตุ แต่รัฐบาลไม่ฟังโดยเฉพาะนายกฯ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะทุกอย่างเข้าทางกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งหมด
"วันนี้ทุกฝ่ายจะต้องมาเจรจาทำสัญญาประชาคมด้วยกันว่า หากล้างไพ่ไปแล้วทุกฝ่ายจะต้องจบ และยอมรับสภาพต้องไม่มีการเดินขบวนประท้วงกันเหมือนแต่ก่อน แต่หากไม่ยอม กันบ้านเมืองก็จะเกิดความวุ่นวายไม่มีวันจบ ส่วนการปฏิวัติรัฐประหารคงยาก แม้ว่ากองทัพจะมีแนวความคิดเพื่อยุติปัญหา แต่ถ้าทำแล้วผลเสียจะตามมาเยอะ โดยเฉพาะการลุกขึ้นมาฆ่ากันของคนไทย" แหล่งข่าวระบุ
ในเวลา 19.30 น. นายสุเทพได้เดินทางไปยังบ้านพักของนายบรรหารเพื่อหารือกับแกนนำพรรคร่วม รัฐบาลถึงสถานการณ์การเมือง โดยพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรค คือ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคภูมิใจไทย และพรรคกิจสังคม ได้ยื่นเงื่อนไขให้แก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มาตราที่ว่าด้วยเขตเลือกตั้ง และมาตรา 190 ตามที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ลงชื่อร่วมกันไปแล้ว โดยไม่ต้องทำประชามติ โดยให้เวลาตัดสินใจ 1-2 วันนี้ หากยังไม่มีอะไรก็อาจมีการทบทวนเรื่องการร่วมรัฐบาล นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พูดคุยถึงผลโพลล์ที่ประชาชนต้องการให้มีการเจรจา รอบ 3 ซึ่งทุกพรรคก็เห็นดีด้วย
ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวว่า รัฐบาลควรหาทางคลี่คลายสถานการณ์ โดยต้องเร่งพิสูจน์หาความจริงให้ปรากฏแก่สังคมโดยเร็ว ซึ่งนายกฯ ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างน้อย ส่วนจะรับผิดชอบ อย่างไรนั้นไม่สามารถบอกได้
นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายพิเศษที่เสถียรธรรมสถานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า อย่าพังบ้าน ซึ่งเวลานี้กำลังจะพังบ้านกันอยู่แล้ว ใครจะชนะช่างหัวมันแต่บ้านพังแล้ว ถนอมๆ กันหน่อย เพราะเรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้ เอาธรรมะเข้าจับ อย่าใช้แต่อารมณ์ เหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ตั้งอยู่บนความโกรธ สุดท้ายคนก็ล้มตายไป และยังตอบไม่ได้เลยมันจะจบอย่างไร
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว แต่มีพ่อแม่คนไหนที่เห็นลูกตีกันแล้วมีความสุข ลูกไม่ดียังพอทนไหว ลูกทรพีพ่อแม่ยังทนได้ แต่ลูกตีกันผมว่าพ่อแม่คนไหนก็ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ที่สุดของพ่อแม่คือเห็นพี่น้องตีกัน ถ้าถามจิตใจพระองค์ท่านตอนนี้ ผมว่าพระองค์ทุกข์ที่สุด เพราะฉะนั้นอย่าโกรธกันเลย โกรธเมื่อไรประเทศพังเมื่อนั้น" นายสุเมธกล่าว.