Monday, April 26, 2010

หนอนบ่อนไส้-ผู้นำใจไม่ถึง สาเหตุปราบกบฏเหลว!!

“ผ่าประเด็นร้อน”

ไม่น่าเชื่อว่าในท่ามกลางการสนับสนุนจากมวลชนแทบทุกฝ่ายที่ ตะโกนให้กำลังใจรัฐบาลโดยเฉพาะ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนเสียงแหบเสียงแห้งเร่งรัดจัดการกับกลุ่มม็อบเสื้อแดงของ ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเห็นว่าเป็นการชุมนุมที่เลยเถิดทำผิดกฏหมายอย่างร้ายแรง

หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตจากพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวในหลากหลายรูปแบบ พบว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่มีเป้าหมายแค่โค่นล้มรัฐบาลเท่านั้น แต่ไปไกลกว่าจนสุดขั้ว นั่นคือการสถาปนา “รัฐไทยใหม่” ซึ่ง จะกระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวสอดคล้องกันอย่างเป็นขบวนการ เพราะแม้แต่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงอย่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และล่าสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ยังระบุออกมาในทำนองเดียวกัน

แต่ที่น่าแปลกก็คือ ในเมื่อรับรู้อยู่เต็มอกว่าการเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดงที่กระทำตามคำ สั่งและตามอำนาจเงินของ ทักษิณ มีเป้าหมายเพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของชาติ อีกทั้งยังมีเสียงเรียกร้องจากประชาชนคนไทยทั่วประเทศที่รับรู้ข้อมูลให้ รัฐบาลรีบจัดการกับกบฏกลุ่มนี้โดยเร็วและเด็ดขาด ให้ใช้อำนาจตามกฏหมายก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป กลับกลายเป็นว่ายังถูกวางเฉย ยังมัวรีรอ ละล้าละลังไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง จนทำให้สังคมเกิดความอึดอัด และที่สำคัญทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มขึ้นทุกวัน

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากความเป็นจริงอีกด้านหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปฏิบัติการของ เจ้าหน้าที่ที่ล้มเหลวหลายครั้ง ที่เห็นได้ชัดก็คือการบุกเข้าจับกุมแกนนำหลายคนที่โรงแรมเอสซีปาร์คในเครือ ของ ทักษิณ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน หรือกรณีการปิดถนนตั้งด่านเถื่อนของคนเสื้อแดงที่กำลังแพร่ระบาดหลายจังหวัด เพื่อสกัดการเคลื่อนย้ายกำลังของเจ้าหน้าที่ สาเหตุสำคัญก็มาจากเรื่อง “หนอนบ่อนใส้” ที่คาบข่าวไปบอกนั่นเอง

สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาและถูกวิพากษ์ วิจารณ์อย่างหนักจากสังคมในขณะนี้ก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกระบุว่ามีจำนวนไม่น้อยทั้งระดับล่างไปจนถึงระดับสูง ต่างเข้าด้วยช่วยเหลือกลุ่มกบฏเสื้อแดง และ มีความเห็นอกเห็นใจ ทักษิณ ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน เช่นบางคนที่เป็นชั้นผู้น้อยมีครอบครัวมีวิถีชีวิตไม่ต่างจากชาวบ้านรากหญ้า ทั่วไป มีความชื่นชมในนโยบาย “แหกตา” ประชานิยม

ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งเคยได้รับประโยชน์จากเงินส่วนแบ่งจากโครงการหวย ได้รับการเลี้ยงดูจากระบอบทักษิณจนอ้วนพี จึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องแอบลุ้นหรือให้ความช่วยเหลือแบบลับๆตลอดเวลา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกนายตำรวจที่เติบโตมาภายใต้อำนาจของ ระบอบทักษิณ ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้งเพื่อนร่วมรุ่น ลูกน้องของเพื่อนร่วมรุ่น เพื่อนของเพื่อนที่ข้ามหัวคนอื่น ซื้อเก้าอี้ หรือได้ประโยชน์ในยุคนั้นมาอย่างเต็มที่ คนพวกนี้จึงยังคอยรับใช้ คอยเป็นสายลับ คอยส่งข่าวสอดแนมอยู่ตลอดเวลา

ในวงการทหารก็มีจำนวนไม่น้อยที่มีลักษณะไม่ต่างกัน เพราะหลังจากที่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่กลุ่มอำนาจเดิมในกองทัพต่างถูกเตะ โด่งออกไป ดังนั้นคำพูดของแกนนำคนเสื้อแดงที่ระบุว่าเวลานี้ตำรวจ “มะเขือเทศ” และ “ทหารแตงโม” จึงไม่ใช่เรื่องที่ เกินเลยความจริง

อย่างไรก็ดี ในฐานะข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัว ทหารและตำรวจของพระเจ้าอยู่หัวที่มีการถวายสัตย์ฯ ว่าจะจงรักภักดีปกป้องชาติ และราชบัลลังก์ บรรดาข้าราชการเหล่านี้ก็น่าจะได้สำนึก และหันกลับสู่แนวทางปฏิบัติตามที่ควรจะเป็น เพราะรับรู้กันแล้วว่าเป้าหมายของ ทักษิณ และแกนนำคนเสื้อแดงกำลังดำเนินอยู่นั้นเพื่อล้มล้างสถาบันหลัก และนี่คือพฤติกรรมของกบฏชัดๆ

อีกส่วนหนึ่งที่ถือว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ พฤติกรรมของผู้นำทั้งผู้นำรัฐบาล และผู้นำกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะผู้รับผิดชอบในการใช้กำลังแก้ปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินที่ไม่ยอมบังคับ ใช้กฏหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืนให้เด็ดขาด แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเข้าใจดีว่าการใช้ความเด็ดขาดอาจก่อให้เกิดความสูญเสีย บ้าง แต่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติหรือที่เรียกว่าสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงนั้นเมื่อ ฝ่ายรัฐได้แต่ตั้งรับไม่ยอมดำเนินการใดๆ ให้เกิดความคืบหน้า หรืออย่างน้อยทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความเกรงกลัวจนเกิดความยับยั้งชั่งใจใน การกระทำที่ผิดกฏหมายหรือ ไม่สนับสนุนกับผู้ทำผิดกฏหมาย แต่นี่ตรงกันข้ามหลายครั้งกลับ “วางเฉย” ในทำนองปฏิเสธความรับผิดชอบเสียอีก

ดังนั้น หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรมส่วนตัวเป็นองค์ประกอบหลักแล้วสาเหตุ สำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤติของชาติบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่องส่วนสำคัญที่สุดก็ คือผู้นำที่ไม่มีความเด็ดขาด ใจไม่ถึง ไม่เคยสรุปบทเรียนที่แล้วมายนั่นเอง

แต่ในทางกลับกัน บางครั้งแม้จะรู้ทั้งรู้แต่ไม่ยอมลงมือ เนื่องจากเกรงเสียภาพลักษณ์ เกรงเสียงนินทา หรือกลัวว่าตัวเองมีความเสี่ยง สู้ประคองตัวไปวันๆ โดยไม่นำพาต่อความสูญเสียที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า คนประเภทนี้น่าจะอำมหิตยิ่งกว่า!!