Wednesday, April 7, 2010

เจาะลึกก๊วนบึ้มป่วนเมือง! จัดทัพแบบทหารขึ้นตรง “ทักษิณ”

โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 8 เมษายน 2553 09:02 น.
       - เกาะติดยุทธศาสตร์การต่อสู้ของกองทัพ “ทักษิณ”
       - ทีมระเบิดถูกจัดวางแบบกองทัพ บุ๋น-บู๊-จรยุทธ์ล่าสังหาร
       - ส่วน นปช.รับหน้าระดมพลกดดันรัฐบาลยุบสภา
       - ด้าน เงินทุน พบช่องทางไหล 4 ทาง ส่งถึงมือทุกก๊วน!
       - หน่วยข่าวระบุ 6 ทีมรับใบสั่งปิดชีพ “มาร์ค” อ่านรายละเอียดหน้า
       

      
       ภารกิจหลักของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะต้องปฏิบัติการให้สำเร็จลุล่วงคือ การบีบรัฐบาลอภิสิทธ์ เวชชาชีวะยุบสภาให้เร็วที่สุด จากนั้นก้าวไปสู่การนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถือเป็น “นายใหญ่” กลับประเทศไทยเพื่อทวงคืนทุกอย่างกลับคืนมาให้จงได้
      
       แต่การจะทำให้ภารกิจนี้บรรลุเป้าหมายได้ จะต้องมีการวางยุทธศาสตร์ และกำหนดยุทธวิธี อย่างเป็นระบบ ตรงนี้จึงนำไปสู่การจัดกระบวนทัพในการสู้รบแบบ “กองทัพ” จึงเกิดขึ้น
      
       และในการจัดทัพเพื่อแยกกันเดินและร่วมกันตี ภายใต้ความเห็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นต่างเชื่อว่าวิธีการสันตินั้นไม่มีทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เพียงแต่ว่าการจัดทัพ ต้องมีทางยุทธวิธีเชิงรุก และเชิงรับ
      
       นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดง จึงเป็นตัวเปิดเกมชุมนุมเคลื่อนไหวในแนว “สันติวิธีแบบทักษิณ” โดยให้แกนหลักในการชุมนุมดึงคนเสื้อแดงมุ่งไปที่การแสวงหาประชาธิปไตยอย่านำ เรื่องของตัวเองเขามาเกี่ยวข้อง
      
       ขณะที่ยุทธวิธีการที่เขาเชื่อว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและทำให้ เขาเป็นฝ่ายชนะได้นั้น ต้องใช้วิธีการที่รุนแรง สร้างความแตกตื่น ให้ประชาชนรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาลอภิสิทธิ์เท่านั้น จึงจะเกิดแนวร่วมภาคประชาชนในทุกระดับชั้นขยายวงกว้างขึ้นจากเดิมมีเพียงชน ชั้นรากหญ้าเป็นกลุ่มหลักเข้าร่วมกดดันรัฐบาลด้วย
      
       นี่คือที่มาของระเบิดป่วนเมืองที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ และมีสม่ำเสมอทุกวัน วันละ 2-4 จุด จนถึงวันนี้เกือบ40 ครั้ง โดยเริ่มต้นมีลักษณะการใช้อาวุธเน้น 3 ประเภทได้แก่ เอ็ม 79 เอ็ม 67 และ อาร์พีจี แถมระยะหลังยังมีการใช้อาวุธเลียนแบบการก่อการร้ายในภาคใต้ด้วย ทั้งระเบิดแสวงเครื่อง และคาร์บอมพ์ ทำให้แนวโน้มความรุนแรงยังมีมาอย่างต่อเนื่อง และไม่มีวี่แววว่าจะจบลงอย่างง่ายๆ
      
       ฟันธง! ฝีมือทหารป่วนเมือง
      
       แหล่งข่าวจากกองทัพบก ระบุว่า หน่วยข่าวของทหารที่มีการรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ เหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยเฉพาะในเรื่องตัวบุคคลในระดับแกนนำต่างมีการเชื่อมโยงแม้ภายนอกจะระบุว่า ไม่เกี่ยวข้องกันไม่ว่าจะเป็นแกนนำนปช. วีระ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กลุ่ม พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รอง ผอ.กอ.รมน.(กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน) พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก รวมไปถึง เสธ.ไอซ์ บรรดาแกนนำอดีตบ้านเลขที่111 แกนนำพรรคเพื่อไทย โดยมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นตัวเชื่อมโยงที่สำคัญและทุกคนในระดับแกนนำสามารถปฏิบัติภารกิจที่ขึ้น ตรงต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โดยตรงแต่แกนนำทุกคนจะรู้ว่าสถานะและหน้าที่ของแต่ละคนอยู่ตรงจุดใด
      
       “คนที่กองทัพและรัฐบาลเชื่อว่าอันตรายที่สุด คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และระเบิดที่เกิดขึ้นก็น่าจะมีส่วนรู้เห็นว่าใครกระทำอะไร อย่างไร”
      
       ในรายงานยังระบุด้วยว่า การปฏิบัติการใช้ความรุนแรงจะมีการแบ่งแยกให้ 3 แกนนำคนสำคัญเป็นผู้ควบคุมดูแล ว่ากันว่า ด้านระเบิดจะมี เสธ.ไอซ์และคณะเป็นผู้รับผิดชอบ ด้านการคุมกำลังและป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้รับอันตรายและการหาข่าว ที่จะทำให้ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณรู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของกองทัพและรัฐบาลจะเป็นหน้าที่ของ เสธ.แดง
      
       ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่เสนาธิการ คุมด้านจรยุทธ์และหน่วยล่าสังหารจะเป็นภารกิจหลักของ พล.อ.พัลลภ “ทีมล่าสังหารมีทั้งหมด 6 ทีม เป็นทหาร 5 ทีม ส่วนอีก 1 ทีม เป็นกองกำลังจากนอกประเทศซึ่งทหารไทยเคยช่วยฝึกด้านการรบให้ แต่วันนี้กองกำลังที่ถูกฝึกจากทหารไทยนี้กลับมาเป็น 1ในทีมล่าสังหารที่มีเป้าหมายปลิดชีวิตคนแรก คือ นายกฯ อภิสิทธิ์ และคาดว่าจะเป็นสุเทพ เทือกสุบรรณ คิวต่อไป”
      
       แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นี่เป็นสาเหตุที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องไปพักอยู่ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทัพ เพราะกองทัพเองก็ได้แสดงความเสียใจกับการที่มีการฝึกทหารให้กับประเทศเพื่อน บ้านแล้วกลับจะมาทำร้ายผู้นำของประเทศเราเอง นอกจากนี้ สิ่งที่กองทัพมีความกังวลมากก็คือการรั่วไหลของข้อมูลที่ฝ่ายทักษิณ รู้ได้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวและปฏิบัติการอะไรบ้างซึ่งกองทัพประมาณได้ว่า ข่าวต่างๆ รั่วไหลไปได้อย่างไร โดยเฉพาะจากคนในเครื่องแบบที่เข้าประชุมด้วย
      
       ไพ่ทุกใบชี้ไปที่ “ทักษิณ”
      
       ด้าน ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองไทยในเวลานี้พุ่งเป้าไปที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกพ้อง เพื่อทำให้รัฐไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้ เมื่อบริหารบ้านเมืองไม่ได้ก็หมดความชอบธรรมในการเป็นรัฐบาล
      
       “จุดนี้คือจุดสำคัญของการต่อสู้ เราต้องมองอย่างไม่หลงทาง”
      
       เมื่อยุทธศาสตร์หลัก คือให้รัฐบาลไม่สามารถบริหารงานบ้านเมืองได้ ยุทธวิธีต่างๆ จึงตามมา ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เห็นว่า นายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไปที่ไหน กลุ่มคนเสื้อแดงจะตามไปราวี,การเทเลือดไว้ 3 จุดที่นายกรัฐมนตรีต้องเข้าไปอยู่หรือทำงาน เช่น ทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านของนายกฯเอง ด้วยเหตุผลที่ว่า นายกรัฐมนตรีเคยประกาศว่า “จะไม่เดินบนกองเลือดประชาชน” ,การตั้งโต๊ะเจรจาระหว่างแกนนำ 3 เกลอ "วีระ มุสิกพงศ์ นพ.เหวง โตจิราการ และจตุพร พรหมพันธุ์ กับฟากรัฐบาลนำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ,กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ และชำนิ ศักดิเศรษฐ ที่จบด้วยการ "ทุบโต๊ะ"ของฝ่ายคนเสื้อแดงเอง หรือแม้กระทั่งระเบิดป่วนเมืองที่ "บึ้ม"กันทุกวันในขณะนี้
      
       "ทั้งหมดทั้งมวลสุดท้ายแล้ว เป้าหมายคือทำให้รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ และต้องกดดันให้ยุบสภา"
      
       ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทุกยุทธวิธีของกลุ่มคนเสื้อแดง มีการทำงานอย่างเป็นขบวนการ และเมื่อการทำงานเป็นไปอย่างมีขบวนการ จะต้องมีหัวหน้าขบวนการหรือคนออกคำสั่งให้ทำเรื่องต่างๆ และมีการรับคำสั่งไปปฏิบัติการ
      
       ไพ่ 7 ใบในมือ "ทักษิณ"
       

       หากมองกันตามงานข่าว จะดูได้ง่ายเลยว่า ขบวนการนี้ มีคนสั่งการเพียงคนเดียว คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่คนรับคำสั่งมีหลายกลุ่ม หรือมีไพ่หลายใบที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกใช้ ที่สำคัญคือไพ่แต่ละกลุ่มไม่รู้จักกัน ใครเป็นใครไม่รู้ รู้แต่ว่าแต่ละคนต้องทำหน้าที่ตามที่ตนเองได้รับมา ทำงานตามคำสั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเพียงคนเดียว
      
       ไพ่ใบที่ 1 คือกลุ่ม นปช. นำโดย 3 เกลอหัวขวด วีระ มุสิกพงศ์,จตุพร พรหมพันธุ์,ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
      
       ไพ่ใบที่ 2 คือกลุ่ม ส.ส.ในสภาฯ จะต้องเล่นอีกบทหนึ่ง คือเน้นเล่นบทในสภาฯ แม้ส.ส.หลายคนจะไม่ลาออกจากตำแหน่งส.ส.อันทรงเกียรติเมื่อแกนนำกลุ่ม นปช.ระบุว่า ส.ส.เพื่อไทยต้องลาออกเพื่อเป็นการยุบสภากลายๆ แต่อย่าลืมว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็ได้แสดงบทบาทไม่เข้าประชุมสภา เพราะเหตุรัฐบาล เอาทหารมาปิดล้อมสภาฯ ในช่วงที่ผ่านมา สร้างความวุ่นวายให้การเปิดประชุมสภาฯไม่น้อย แถมยังเป็นช่วงที่มีกระแสข่าวว่ากลุ่มนปช.จะพามวลชนมาปิดล้อมสภาฯพอดี อีกทั้งยังมีบทสำคัญในการรับไม้ต่อหากกลุ่มนปช.พลาดจากม็อบเสื้อแดง คือต้องเดินเกม "อภิปรายไม่ไว้วางใจ"รัฐบาลก๊อก 2 ทันที
      
       ไพ่ใบที่ 3 คือกลุ่มอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน ในกลุ่มบ้านเลขที่ 111 และ 109 คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการและปัญญาชนระดับหัวกะทิ แม้บทบาททางการเมืองจะไม่สามารถแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดได้ เพราะติดด้วยข้อกฎหมายที่ห้ามเล่นการเมือง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ให้คนกลุ่มนี้ขึ้นเวทีกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อหนุนให้ภาพกลุ่มคนเสื้อแดงมีสาระ และเรียกคะแนนจากคนชั้นกลางมากขึ้น คนกลุ่มนี้ที่สำคัญได้แก่ พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม,สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี,สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
      
       ไพ่ใบที่ 4 คือจักรภพ เพ็ญแข และกลุ่มแดงสยาม ไพ่ใบนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ได้เลือกใช้มากนัก เพราะภาพของกลุ่มแดงสยามเป็นภาพกลุ่มที่ต้องการล้มสถาบัน ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกโจมตีมาตลอด หากใช้งานกลุ่มนี้มากเข้าไปอีก ก็เป็นความสุ่มเสี่ยงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อาจจะถูกต่อต้านอย่างหนักจากชนชั้นกลางในสังคมไทยที่รับไม่ได้ กลุ่มแดงสยามจึงไม่ได้รับความสำคัญจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เท่าที่ควร มีแต่ตัว จักรภพ เพ็ญแข ที่พ.ต.ท.ทักษิณให้ช่วยทำงานในด้านต่างประเทศ โดยเฉพาะในการเคลื่อนไหวผ่านสื่อต่างประเทศ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รับความไม่เป็นธรรมจากการปฏิวัติรัฐประหาร ถูกเกมการเมืองเล่นงาน แต่เหตุการณ์เมษาเลือด จากการสร้างความวุ่นวายถึงขนาดเผารถเมล์ สร้างความวุ่นวายในปีก่อน ทำให้ต่างชาติต่างเห็นแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งตัว จักรภพ ที่เป็นหนึ่งในแกนนำมวลชนในเวลานั้นด้วย ทำให้ปัจจุบัน ทักษิณและจักรภพ ไม่ได้รับความน่าเชื่อถือจากสื่อต่างประเทศที่เขาสนิทมากเท่าเดิม
      
       ไพ่ใบที่ 5 กลุ่มอดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งพบว่ามีทั้งอดีตยานทหารและนายตำรวจจำนวนมากที่ตบเท้าเข้าร่วมงานกับพรรค เพื่อไทยในช่วงก่อนหน้านี้ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทยในสายความมั่นคงที่ช่วย เสริมในแง่ของความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับกองทัพในพื้นที่ภาคตะวันออก
      
       ไพ่ใบที่ 6 กลุ่มฮาร์ดคอร์ ได้แก่ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.กอ.รมน.และเสธ.แดง พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กลุ่มนี้แม้จะมีภาพเป็นกลุ่มผู้ที่นิยมความรุนแรง แต่คนกลุ่มนี้ก็อยู่บนดิน
      
       ไพ่ใบที่ 7 กลุ่มทำงานใต้ดิน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มทำงานลับให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นกลุ่มที่คนกลุ่มอื่นโดยเฉพาะกลุ่มที่ 1-4 ไม่รู้จัก แต่เชื่อว่าเป็นกลุ่มที่วางระเบิดก่อกวนบ้านเมืองในขณะนี้ ซึ่งกลุ่มนี้จะมีกลุ่มฮาร์ดคอร์บนดินบางคนเข้าเกี่ยวข้องหรือมีส่วนรับรู้ โดยเฉพาะตัวเสธ.แดง ที่มีคนเห็นเขาก่อนที่จะมีการก่อเหตุระเบิดในหลายๆจุด โดยเฉพาะก่อนที่จะมีการยิงอาร์พีจีเข้ากระทรวงกลาโหมเพียง 2 วันที่บริเวณแพร่งสรรพศาสตร์ และก่อนการระเบิดครั้งล่าสุดเวลาประมาณ 15.00 น.ที่พรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา
      
       "ทั้ง 7 กลุ่มไม่ว่าจะทำอะไร ดูไม่ยาก เพราะวัตถุประสงค์เหมือนกัน คือก่อกวนไม่ให้รัฐบาลบริหารบ้านเมืองได้ ฉะนั้นจึงไม่ใช่กลุ่มมือที่ 3 ที่วางระเบิดป่วนเมืองในเวลานี้"
       กลุ่มทำงานลับ-มือวางระเบิด
      
       ภุมรัตนกล่าวว่า กลุ่มที่น่ากลัวที่สุดคือ ไพ่ใบที่ 7 หรือกลุ่มทำงานลับให้พ.ต.ท.ทักษิณ ในขณะนี้ เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เป็นทหาร และตำรวจ ทั้งในและนอกประจำการ และพลเรือนบางคน
      
       วิเคราะห์จากการใช้อาวุธที่ต่างกันในแต่ละพื้นที่ ยิ่งเชื่อได้ว่ามีคนกลุ่มนี้อยู่จำนวนไม่น้อย เพราะมีการเลือกใช้คนแต่ละกลุ่ม ทำงานที่แตกต่างกัน คนกลุ่มหนึ่งเก่ง M16 คนกลุ่มหนึ่งเก่ง M 79 หรือ คนกลุ่มหนึ่งเก่ง M67 เลือกใช้คนแต่ละกลุ่มในการใช้อาวุธที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
      
       "ที่น่าสนใจคือคนกลุ่มนี้แม้จะใช้ระเบิดในสถานที่ที่เป็นเชิง สัญลักษณ์ เช่น มูลนิธิรัฐบุรุษ เป็นตัวแทนอำมาตย์ หรือกระทรวงกลาโหมเป็นตัวแทนทหาร ไม่ได้ต้องการให้มีคนตาย แต่ที่ทำไปนั้นเพื่อสื่อสารถึงรัฐบาลว่า มีขีดความสามารถในการทำให้เกิดความรุนแรงเมื่อไรก็ได้ จะทำให้ใครตายเมื่อไรก็ได้ เป็นการขู่รัฐบาลรูปแบบหนึ่ง"
      
       การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีไพ่หลายใบให้เลือกใช้เช่นนี้ จึงทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวคนหนึ่งของรัฐบาล เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ เติบโตมากจากแวดวงทหาร ตำรวจ มีเส้นสายกลในในแวดวงตำรวจ ทหารอยู่มาก อีกทั้งยังมีเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะหยิบไพ่ใบไหนมาใช้เมื่อไรก็ได้
      
       ปลิดชีพแกนนำ
       3 เกลอเซ่นทักษิณ
       

       ด้านแหล่งข่าวด้านความมั่นคง ยืนยันเช่นเดียวกันว่า กลุ่มที่สร้างความรุนแรงในขณะนี้เป็นมือไม้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นเดียวกัน หลายฝ่ายมองไปที่ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และสั่งการมาที่คนใกล้ชิดดำเนินการอีกที
      
       "ภาพของบิ๊กจิ๋ว เป็นภาพคนรักสันติ ปากหวาน ไม่นิยมความรุนแรง แต่ภาพก็เป็นแค่ภาพ เพราะในความเป็นทหารแล้ว บิ๊กจิ๋วมีความเด็ดขาด และมีความเป็นเผด็จการด้วย จึงทำให้เขาประสบความสำเร็จด้านงานมั่นคงระหว่างประเทศที่ผ่านมา"
      
       ถ้าบิ๊กจิ๋วอยู่เบื้องหลังระเบิดป่วนเมืองครั้งนี้ จึงน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!
      
       แหล่งข่าวด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า ขณะนี้ข่าวที่มาแรงที่สุดคือ กลุ่มทำงานลับให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยกระดับความรุนแรง โดยพุ่งเป้าไปที่แกนนำ 3 เกลอด้วย
      
       "ถ้าระเบิดลงฝูงชนหรือถ้า 3 แกนนำมีใครคนใดคนหนึ่งตาย จะเกิดผลกระทบทางการเมืองทันที และนำไปสู่การนองเลือด โดยฝ่ายรัฐบาลจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ"
      
       ศอ.รส.คุ้มภัย 3เกลอ
      
       สอดคล้องกับ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกและโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ระบุว่า มาตรการรักษาความปลอดภัยแก่ผู้ชุมนุมของศอ.รส.ในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่การเรียกร้องให้ทหารออกนอกพื้นที่การชุมนุม แต่สถานการณ์การชุมนุมที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องกันมาหลายสัปดาห์นี้ ยังคงไม่อาจประมาทได้ โดยเฉพาะการเพิ่มระดับการชุมนุมมากขึ้น ซึ่งศอ.รส.ได้ประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นไว้ในระดับเข้มข้นและเตรียม การป้องกันอย่างไม่ประมาท และจุดที่ต้องให้ความสำคัญเป็นกรณีพิเศษคือการอารักขาบุคคสำคัญในขั้วรัฐบาล ตลอดจนบุคคลสำคัญในแวดวงต่างๆที่สุ่มเสี่ยงอยู่ในเป้าหมายทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ในแวดวงกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ประจำพื้นที่อย่างน้อย 3 คนในแต่ละจุด รวมถึงการเพิ่มสายตรวจในพื้นที่ดังกล่าวด้วยเช่นกัน
      
       นอกจากนี้ หนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่มีความสุ่มเสี่ยงนอกจาก บุคคลสำคัญในรัฐบาลแล้ว เหตุรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงก็ยังคงเป็นจุดที่ต้อง เฝ้าระวังอย่างเข้มข้น เนื่องจากมีการประเมินว่าหากเกิดเหตุร้ายต่อผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงอาจเป็นตัว เร่งให้เกิดการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลได้เช่นกัน รวมถึงอีกกลุ่มที่มีเป้าหมายเช่นกัน ก็คือ บรรดาแกนนำคนเสื้อแดง 3เกลอ ที่อาจเป็นเป้าหมายที่มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน
      
       จับตา "บิ๊กจิ๋ว"
       คุมกองกำลัง "ลับ"

      
       ขณะที่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของรัฐบาลกล่าวว่า ขณะนี้ มีการจับตากลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลอย่างใกล้ชิด โดยตามไปยังกลุ่มทหารที่ใกล้ชิดกับ บิ๊กจิ๋ว และทหารตำรวจที่มีสายสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหลัก
      
       ในสายทหารที่ใกล้ชิดกับบิ๊กจิ๋ว พบว่า บิ๊กจิ๋วมีบทบาทและมีสายสัมพันธ์ที่ดีมากกับนักธุรกิจที่เชื่อมต่อกับประเทศ กัมพูชา ซึ่งน่าจะเป็นคนสำคัญในเชิงเอื้อประโยชน์กับกลุ่มที่วางระเบิดป่วนกรุงในขณะ นี้
      
       "บิ๊กจิ๋วนั้น เป็นคนกว้างขวาง โดยเฉพาะในการทำธุรกิจในประเทศกัมพูชา และเชื่อมโยงกับนักธุรกิจที่ทำธุรกิจในกัมพูชาอย่างมาก โดยเฉพาะกับ พัด สุภาภา ซึ่งเคยเอื้องานของประเทศกัมพูชาให้กลุ่มทุนกลุ่มอื่นๆ ในพรรคไทยรักไทย กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มหลักที่ส่งท่อน้ำเลี้ยงให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงรวมทั้งไพ่ ใบต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ"
      
       ส่วนมือปฏิบัติการ มีการจับตาไปที่ทหาร 3 กลุ่มเป็นหลัก ได้แก่ กลุ่มปราจีนบุรี กลุ่มสระบุรี และกลุ่มนครนายก
      
       โดยกลุ่มปราจีนบุรี นอกจากมีเสธ.อ.ซึ่งเป็น เตรียม 10 เป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว ในพื้นที่นี้ เสธ.แดงหรือพลตรีขัตติยะ ยังเคยคุมทหารม้า กองพัน 30 ซึ่งปัจจุบันยังมีเด็กสร้างของเสธ.แดงอยู่จำนวนมากในกองพันนี้
      
       เช่นเดียวกับกลุ่มสระบุรี หัวหน้ากลุ่มเป็นทหารม้า และลพบุรี หัวหน้ากลุ่มเป็นหน่วยรบพิเศษ ที่เตรียม 10 ดูแลอยู่เช่นเดียวกัน
      
       ที่น่าสนใจและจับตาที่สุด คือ กลุ่มทหารราบที่นครนายก ที่มี พลเรือโทเกียรติศักดิ์ ดามาพงษ์ เป็นหัวหน้า
      
       "พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยเชื่อใจใครมากกว่าเครือญาติ ดังนั้นในพื้นที่ที่พลเรือโทเกียรติศักดิ์ ดูแลอยู่จึงน่าสนใจยิ่ง เพราะนอกจากนครนายกแล้ว ยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงจังหวัดจันทบุรี ที่มีหน่วยนาวิกโยธินของทหารเรือคุมน่านน้ำในย่านตะวันออกที่เชื่อมไปถึง กัมพูชาได้อีกด้วย"
      
       แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในเดือนเมษายนปีที่แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ มั่นใจว่าจะชนะและกลับเข้าประเทศ โดยประกาศว่าพร้อมจะเดินจากอุดรเข้ามากรุงเทพทันทีที่มีการนองเลือด ขณะนั้นขวัญชัย ไพรพนา แกนนำชมรมคนรักอุดร ได้ไปรอ พ.ต.ท.ทักษิณที่เวียงจันทน์ประเทศลาว ขณะที่สมชาย วงศ์สวัสดิ์มารอที่อุดรพร้อมแล้ว
      
       "โชคร้ายที่ประเทศลาวไม่เอาด้วย ประเทศลาวติดต่อเข้ามาและยืนยันกับรัฐบาลไทยว่าจะไม่ยอมให้มีการใช้ลาวเป็น ฐานทางการเมืองเพื่อต่อสู้ในประเทศไทย อีกทั้งการคุมฝูงชนของแกนนำนปช.ไม่อยู่ ปล่อยให้มีการใช้ความรุนแรง จนคนกรุงเทพออกมาต่อต้าน และถูกประนามจากนานาชาติ จึงทำให้แผนการเดินเท้าจากอุดรเข้ากรุงเทพฯ ของพ.ต.ท.ทักษิณ สะดุดทันที"
      
       ญาติ "ทหาร-ตำรวจ"
       หนุนอาวุธ-ปฏิบัติการ

      
       ว่ากันว่า ความมั่นใจในความพร้อมของพ.ต.ท.ทักษิณ ในเวลานั้น เป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มีมือทหารเตรียมปฏิวัติไว้พร้อมแล้ว และในข่าวสายความมั่นคงเชื่อว่าจะนำโดย พลเรือโทเกียรติศักดิ์ ดามาพงษ์นี่เอง
      
       อย่างไรก็ดี แม้ว่าแผนการทำปฎิวัติรัฐประหารโดยทหารผู้ใกล้ชิดล้มไปเมื่อปีก่อน แต่ก็ยังคงถือว่าทหารสายหลักที่ช่วย พ.ต.ท.ทักษิณอยู่คือคนกลุ่มนี้ด้วย
      
       นอกจากนั้น ในส่วนอาวุธสงครามที่นำมาใช้ในการป่วนเมือง มีการสืบแล้วทราบว่า มีตำรวจที่เป็นเครือญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ดูแล โดยลักษณะของการขนอาวุธสงครามจะใช้วิธีฝากไว้ตามชนกลุ่มน้อยเผ่าต่างๆ ใกล้ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มไทยใหญ่ ว้า มูเซอ ก่อนขนเข้าสู่ประเทศไทย โดยจุดใหญ่จะส่งเข้ามาทางอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจะตรวจจับไม่ได้ เพราะตำรวจเกียร์ว่าง
      
       เมื่อญาติเดินหน้าทั้งฝ่ายทหาร และตำรวจ ประกอบกับสายสัมพันธ์กับนักธุรกิจในกัมพูชาอย่างแนบแน่น พ.ต.ท.ทักษิณจึงเลือกใช้ไพ่ที่เป็นกลุ่มคนทำงานลับได้มีประสิทธิภาพยิ่ง และทำให้การระเบิดป่วนเมืองมีสิทธิเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
      
       4 ช่องระดมทุน
       ดึงทุกฝ่ายหนุน
       

       แหล่งข่าวจากกองทัพ กล่าวด้วยว่า จากงานด้านการข่าวที่มีการเชื่อมโยงกับหลายหน่วยงานทั้งภายในประเทศและนอก ประเทศ พบว่า การที่กลุ่มการเคลื่อนไหวต่าง ๆสามารถปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็วและยาวนานได้นั้น เนื่องจากมีทุนหลั่งไหลเข้ามาซึ่งจากข้อสรุปที่เสนอรายงานรัฐบาลนั้น มีทั้งหมด 4ช่องทาง กล่าวคือ
      
       1.ทุนจากในประเทศ ทุนกลุ่มนี้จะเป็นของนักธุรกิจที่เป็นพรรคเป็นพวกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเดิมนั้นผู้ดูแลจะเป็นน้อง ๆในตระกูลชินวัตร เป็นผู้นำมาสนับสนุน แต่ปัจจุบัน "เสี่ยภู - เสี่ยสุ" จะเป็นผู้รับผิดชอบหลักแต่ทุนที่สนับสนุนจะผ่านมาจากหลายทาง
      
       2.ผ่านโพยก๊วน เงินที่ผ่านมาทางนี้นั้น กระทรวงการคลังกำลังหาทางจัดการ เพราะรู้แล้วว่าผ่านมาได้อย่างไร โดยเฉพาะบรรดานักธุรกิจที่เปิดบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตรา "Super??"ชื่อดังนี่เป็นตัวการสำคัญที่แกนนำต่าง ๆ เดินทางไปรับเงินทุนเคลื่อนไหวที่นี่
      
       3.ตลาดหุ้น แหล่งระดมทุนที่รัฐบาลรู้แต่ยังไม่ส่ามารถจัดการได้ โดยเฉพาะหุ้นของ 4-5 บริษัทที่มีหลานเสี่ยสุ เซียนหุ้นคนหนึ่งของเมืองไทยเป็นรับผิดชอบ โดยถือหุ้นในหลายบริษัททั้งบริษัทในกลุ่มพลังงานที่ได้รับการจัดสรรในช่วง ที่แปรรูปบริษัทเหล่านี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ในช่วงรัฐบาลไทยรักไทย รวมถึงหุ้นในเครือของตระกูลชินคอร์ปที่ราคาพุ่งเหนือจากราคาวันที่ถูกตัดสิน ยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท (อ่านรายละเอียด ADVANC คืนชีพทะยานเหนือวันยึดทรัพย์ หน้าการเงิน - การลงทุน)
       

       4.บ่อนคาสิโนในพื้นที่ชายแดน กำลังเป็นแหล่งระดมทุนสำคัญ เพราะมีบรรดาคนของ พ.ต.ท .ทักษิณ ทั้งที่เป็นแกนนำกลุ่มต่าง ทหาร ตำรวจ ส.ส.ที่รับผิดชอบในการเดลื่อนไหวเดินทางเข้าไปใน "รับเงิน" แต่แสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ว่าเข้าไปเล่นการพนัน และเมื่อกลับเข้าฝั่งไทยก็บอกว่าเงินที่ได้มานั่นมาจากการเล่นการพนันได้ ทั้งสิ้น
      
       "เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหารและศุลกากร ต่างก็รู้ แต่ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นพวกทักษิณทั้งนั้น"
      
       ดังนั้น ด้วยความพร้อมทั้งเงินทุน กำลังคน อาวุธ และแกนนำในแต่ละระดับที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความฮึกเฮิมและเชื่อว่าเกมนี้จะจบด้วยชัยชนะ ส่วนความเชื่อดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่คงต้องติดตามดูว่าประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศเห็นด้วยหรือไม่!
      
       *************
      
       มาร์ค 'กำชัย' เกมเจรจา เสื้อแดง
       สังคม จี้ทุกฝ่าย 'จับเข่าคุย-อัปเปหิ' หัวรุนแรง

      
       ชำแหละเกมเจรจา 2 ฝ่าย ชี้แม้วสั่ง 3 เกลอ ยุติเกมเจรจาเพราะเสียท่ามาร์คเต็มๆ ส.ว.ชี้ เกมนี้รัฐจริงใจกว่าเสื้อแดง ฟากคณะกรรม.สิทธิฯ เชื่อปัญหาความขัดแย้งฝังรากลึกต้องใช้เวลาแก้อีกนาน วงในรัฐบาล แนะ ทุกฝ่ายเปิดอกตั้งโต๊ะเจรจายุติความขัดแย้ง เชื่อสังคมโตล้ำหน้านักการเมือง-หมดยุคใช้ความรุนแรงแล้ว..
      
       การเจรจาระหว่างรัฐบาลและแกนนำคนเสื้อแดงที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ และชำนิ ศักดิเศรษฐ ในฝั่งรัฐบาลและวีระ มุสิกพงศ์ นพ.เหวง โตจิราการ และจตุพร พรหมพันธุ์ ตัวแทนจากฝั่งคนเสื้อแดง ที่แม้ว่าการเจรจาครัง้นั้นจะยุติลงโดยยังมิได้ข้อสรุป แต่ก็ต้องยกนิ้วให้กับแนวทางสันติวิธีที่ทั้ง 2 ฝ่ายล้วนมีพยายามอย่างสูงในการรักษาหลักการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
      
       แม้ว เสียเหลี่ยม
       เกมเจรจา 'รัฐ-เสื้อแดง'
       

       ทว่า เมื่อย้อนมองดูจุดเริ่มต้นของการเจรจาส่วนหนึ่งมาจากกระแสสังคมที่ต้องการ ให้เกิดการเจรจาเพื่อป้องกันการใช้ความรุนแรง ซึ่งพร้อมกับที่คนเสื้อแดงได้เข้าปิดล้อมกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) จนนำไปสู่การเปิดเจรจาระหว่างรัฐบาลและแกนนำคนเสื้อแดงในที่สุด
      
       ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือยุทธศาสตร์หนึ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวทั้งหมดและใช้เป็น โอกาสรุกไล่รัฐบาลนำไปสู่การยุบสภาในทันที ทว่าการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย เพื่อมีการเปิดเจรจาขึ้นจริงแกนนำคนเสื้อแดงกลับเพลี่ยงพล้ำในการเจรจาดัง กล่าวและจบลงจากการเพียงการเจรจารอบ 2 เท่านั้น
      
       "เชื่อว่ามีการใช้กลยุทธ์กดดันเพื่อหวังปิดเกมรัฐบาลด้วยการเจรจา เนื่องจากเชื่อว่ามีพลังมากพอจะกดดันให้ยุบสภาได้ แต่เมื่อเปิดการเจรจาขึ้นคุณอภิสิทธิ์สามารถเจรจาและชี้แจงได้ค่อนข้างดีจึง เปลี่ยนจากการกดดันรัฐบาลเป็นการเปลือยแกนนำคนเสื้อแดงเสียเอง"
      
       แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง ระบุ และชี้ว่ายุทธศาสตร์การใช้การเปิดเจรจาเพื่อกดดันรัฐบาลนั้น อาจมาจากการที่พ.ต.ท.ทักษิณประเมินความสามารถของนายกรัฐมนตรีต่ำเกินไปจน กระทั่งพบกับความพ่ายแพ้ในเกมการเจรจาในที่สุด
      
       รัฐจริงใจกว่าแดง
      
       ดังนั้น การเจรจาจึงยุติลงและเฝ้ารอการเจรจารอบที่ 3 เพื่อนำไปสู่ความสงบของบ้านเมืองตามความคาดหวังของสังคม แต่เมื่อพิจารณาจากการเจรจาในรอบที่ 2ก็พอจะมองเห็นว่าฝ่ายใดกันแน่ที่มีความจริงใจในการเจรจาอย่างแท้จริง
      
       ตามที่ อนุศักดิ์ คงมาลัย คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ที่ประเมินว่า เป้าหมายที่ทั้ง 2 ฝ่ายนำเสนอผ่านการเจรจาถือว่าสะท้อนได้อย่างชัดเจนถึงความจริงใจ โดเงื่อนไขยุบสภาภายใน 9 เดือนของรัฐบาลที่อธิบายถึงหลักการ-เหตุผลได้อย่างครอบคลุม
      
       ขณะที่ทางฝั่งของ3 แกนนำคนเสื้อแดงที่ใช้เวทีของการเจรจาในลักษณะกึ่งอภิปรายและปลุกเร้าคน เสื้อแดง รวมถึงมิได้มีการให้เหตุผลที่เพียงพอต่อการยุบสภาภายในเงื่อนเวลา 15 วันตามที่ได้ยื่นข้อเสนอ รวมถึงจุดสำคัญคือ รัฐบาลมีท่าทีที่เปิดผยต่อแนวคิดยุบสภาและไม่ปิดประตูตายนสำหรับแนวททางดัง กล่าว จึงพอมองได้ว่าฝ่ายใดมีความจริงใจอย่างแท้จริงหรือเพียงต้องการใช้เวทีเจรจา เพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น
      
       "รัฐบาลมีท่าทีที่ค่อนข้างเปิดและยืดหยุ่นมากจนถึงขณะนี้ เพราะคนเสื้อแดงก็ได้เต็มๆหากยอมรับเงื่อนไข ยุบสภาภายใน 9 เดือนได้ ซึ่งก็จะประกาศชัยชนะกับมวลชนของตนได้ทันทีเช่นกัน"
      
       แต่ด้วยระยะเวลาที่ทอดยาวตามที่หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลจะได้ประโยชน์ จากเทศกาลสงกรานต์ที่จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ผู้ชุมนุมสลายตัวโดยปริยายก็ตาม แต่รัฐบาลก็ต้องแบกรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมในบริเวณสะพานผ่านฟ้า ลีลาศ และย่านราชประสงค์ย่อมส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจรวมถึงการรับผิดชอบต่อชีวิตของ ผู้ชุมนุมอีกด้วยเช่นกัน ดังนั้นการมองว่ารัฐบาลจะได้ประโยชน์จากเงื่อนเวลาแต่ก็ไม่อาจพูดได้ไม่เต็ม ปากนัก
      
       เปิด 2 เงื่อนไข
       แดงพร้อมคุย
       

       ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการเปิดเจรจานั้น มีแนวโน้มใน 2 ทาง คือ 1.การยกระดับการชุมนุมให้มีความเข้มข้นขึ้นจนสามารถมีอำนาจต่อรองเหนือ รัฐบาลโดยเฉพาะจากปัจจัยด้านความรุนแรง อาทิ เหตุระเบิด หรือการสลายการชุมนุม เป็นต้น ซึ่งจะทำให้เข้าใกล้เป้าหมายการยุบสภาในทันทีของคนเสื้อแดงได้
      
       ขณะที่ในแนวทางที่ 2. หากการชุมนุมยืดเยื้อสังคมจะเริ่มตั้งคำถามกับคนเสื้อแดง รวมถึงการสลายตัวของคนเสื้อแดงจากการกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่ง จุดนี้ อาจเป็นช่วงที่แกนนำคนเสื้อแดงต้องการที่จะหาทางลง เพื่อป้องกันความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการรักษาแนวร่วมสำหรับการชุมนุมใน ครั้งต่อไป
      
       "คาดว่าในมุมของแกนนำคนเสื้อแดง หากไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นก็ต้องอยู่ที่ผู้ชุมนุมอ่อนแรงอย่างที่สุดจึงจะ มีการเปิดเจรจากับรัฐบาลอีกครั้ง"
      
       เปิดโต๊ะเจรจา
       หางออกประเทศ
       

       ทว่า ในท้ายที่สุดแล้ว นอกจากปัญหาความขัดแย้งเฉพาะหน้ากับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เป็นอยู่นี้ ปัญหาความขัดแย้งเชิงลึก ก็จำเป็นต้องใช้การเจรจาเพื่อหาทางออกเช่นกัน
      
       "ปัญหาทางสังคมที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่นี้ เป็นปัญหาเชิงลึกที่ แม้ว่าสังคมจะคาดหวังให้เกิดขึ้นก็ได้เพียงบางส่วนซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรใน การที่จะลดความขัดแย้งที่เป็นอยู่อย่างแท้จริงได้"
      
       ศ.ดร.เสน่ห์ จามริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุและมองว่าแนวทางการเจรจราที่หลายฝ่ายต้องการนั้น อาจยังไม่ใช่ทางออกที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเท่าใดนัก
      
       สอดคล้องกับที่ วัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มองว่า ไม่ว่าการชุมนุมครั้งนี้จะยุติลงเช่นไ แต่การเปิดโต๊ะเจรจาเพื่อหาทางออกให้กับประเทศยังคงเป็นแนวทางที่สามารถ สร้างความหวังให้กับสังคมได้มากขึ้นโดยเฉพาะการพ้นจากบ่วงความขัดแย้งที่ ดำเนินมากว่า 4-5 ปีนี้
      
       โดยภาพสะท้อนในการเจรจาของรัฐบาล-แกนนำคนเสื้อแดง ชี้อย่างชัดเจนว่า คู่ขัดแย้งในสังคมไทยที่ในอดีตนั้นมีการเจรจากันได้ยากมาก แต่ปัจจุบันยอมรับความแตกต่างกระหว่างกันได้มากขึ้น เบื้องต้นแม้ว่าการเจรจาจะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่จุดเหมือนก็คือ การยอมรับต่อการ "ยุบสภา" ของทั้ง 2 ฝ่าย ที่เพียงแต่เห็นไม่ตรงกันในรายละเอียดเท่านั้น ซึ่งจุดดังกล่าวสะท้อนว่า แนวทางสันติวิธีอย่างการเจรจานั้นถือว่าเป็นรูปแบบใหม่ที่สังคมไทยได้เรียน รู้ร่วมกันทั้งหมดในทุกภาคส่วนของสังคม
      
       "ในการเจรจาเป็นปกติอยู่แล้วว่าต่างฝ่ายต่างมีข้อเสนอของตนเองมาเสนอ หรือการชิงเหลี่ยมกัน แต่สุดท้ายก็จะมีจุดที่ยอมรับได้ ซึ่งในระยะสั้นอาจเป็นการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาการชุมนุมที่เป็นอยู่ แต่ก็ถือเป็นสัณญานที่ดีต่อการเปิดโต๊ะเจรจาในอนาคตเพื่อหาทาออกของความขัด แย้งที่เป็นอยู่ในสังคมไทย"
      
       ดังนั้น จึงพอเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคม โดยรัฐบาลหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนถึงคราวเปิดโต๊ะเจรจา และหยิบยกประเด็นปัญหาขึ้นมาพูดคุยกันเพื่อนำไปสู่ทางออกกันอย่างจริงใจ ท่ามกลางการสนใจจากประชาชนซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกดดันฝ่ายที่ไม่ต้อง การใช้แนวทางสันติวิธีหรือหันหลังให้กับการเจรจาดังที่เคยเป็นมา
      
       รวมถึง ในรายละเอียดที่อาจจะมีความขัดแย้งทั้งกรณีของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือกรณีอื่นๆ เครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ได้ ก็คือ พ.ร.บ.การทำประชามติที่ผ่านการพิจาณณาเสร็จสิ้นพร้อมใช้แล้วก็จะเป็นเครื่อง มือที่จะช่วยให้ผลของการเจรจาเป็นที่ยอมรับได้มากขึ้น
      
       อย่างไรก็ตาม แม้ภาวะทางการเมืองที่ดำเนินอยู่ในขณะ
       ล้มลุกคลุกคลานแต่เมื่อมองในภาพรวมจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สังคมไทยมีการเติบโตภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่ดีขึ้น อาทิ การให้พื้นที่กับการเมืองภาคประชาชน การใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในแง่มุมต่างๆ ซึ่งสุดท้ายจะสะท้อนกลับไปยังบรรดาผู้แทนปวงชนโดยเฉพาะนักการเมืองให้ ตระหนักในหน้าที่ว่าไม่สามารถที่จะกระทำการใดๆตามอำเภอใจโดยไม่ฟังเสียงของ ประชาชนได้อีกต่อไปแล้ว...
      
       *************
      
       "บึ้ม"รายวัน!
       เกมกดดันรัฐบาลยุบสภา

      
       ระเบิดรายวันเกลื่อนเมืองสามเดือนตูมแล้ว 35 ครั้งในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับ "มือป่วน"ได้แค่ 2 คนจากเหตุการณ์เพียงครั้งเดียวที่เหลือยัง "แบ๊ะๆ" คาดมือมืดยังตั้งหน้าป่วนต่อเนื่อง
       

       ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ครุกรุ่นฝุ่นตลบ มองไม่ออกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหนอยู่นั้น ยุทธการ "ป่วนเมือง"ด้วยอาวุธสงครามทั้งระเบิดขว้าง ระเบิด M79ระเบิดแสวงเครื่องไปถึงจรวด RPG ซึ่งการใช้ระเบิด "ป่วนเมือง"เกิดขึ้นหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เหตุการณ์ระเบิดป่วนกรุงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 6 เมษายน 2553 มีมาแล้วถึง 35 ครั้ง โดยเกิดขึ้นทั้งในพื้นที่เมืองหลวง ปริมณฑลรวมไปถึงต่างจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่
      
       โดยในครั้งแรกเกิดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ได้เกิดเหตุระทึกกลางกรุงขึ้นครั้งแรกเมื่อคนร้ายนำลูกระเบิดขว้าง แบบ M 76 ขว้างใส่ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาพระราม 2 แต่ระเบิดไม่ทำงาน จากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกันก็เกิดเหตุ ครั้งที่ 2 มีคนร้ายขว้างระเบิดแบบ M 26 ใส่ธนาคารกรุงเทพฯสาขาสีลม สามารถจับคนร้ายได้ 2 คน โดยทั้งสองคนเป็นกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.และตามด้วย ครั้งที่ 3 ในวันเดียวกันก็เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่ธนาคารกรุงเทพฯสาขาพระประแดงซึ่งกระจก ธนาคารได้รับความเสียหาย
      
       ครั้งที่ 4 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 พบลูกระเบิดขว้างแบบ M 67 ซึ่งคนร้ายได้ขว้างใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาศรีนครินทร์ แต่ระเบิดไม่ทำงานและเจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดไว้ได้ เหตุการณ์ในครั้งนี้สัณนิฐานว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีก่อขึ้นเพื่อสร้าง สถานการณ์ ครั้งที่ 5 วันที่ 14 มีนาคม ได้พบระเบิดในบริเวณบ้านเลขที่ 225/157 หมู่บ้านศิริวรรณ แขวงบางแคเหนือ ซึ่งเป็นบ้านของ ศุภกร แสงอรุณ อาชีพนายหน้าที่ดิน ตรวจสอบพบเป็น M 26 ครั้งที่ 6 วันที่ 15 มีนาคม มีการปาประทัดยักษ์ใส่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ ครั้งที่ 7 วันที่ 15 มีนาคม เกิดเหตุยิงระเบิด M79 จำนวน 6 ลูกเข้าไปยังกองพันทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ถ.วิภาวดีรังสิต แต่ระเบิดทำงานเพียง 4 ลูก มีทหารบาดเจ็บ 2 นาย
      
       ครั้งที่ 8 วันที่ 16 มีนาคม เกิดเหตุยิงระเบิด M79 ใส่หลังคาบ้านเลขที่ 22/18 ซ.ลาดพร้าว23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร ระเบิดตกหลังคากระเบื้องแตก ซึ่งเยื้องไป 300 เมตร คือบ้านของ อักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 9 วันที่ 16 มีนาคม เกิดเหตุปาระเบิดใส่บริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่นฯ ของพ่อตา เนวิน ชิดชอบ ตรวจสอบเป็นระเบิดปิงปอง ครั้งที่ 10 วันที่ 19 มีนาคม เกิดเหตุยิงปืนอาก้าใส่บ้านเลขที่ 95 ซ.ทองหล่อ 3 และ บ้านเลขที่ 190 ซ.สุขุมวิท53 แขวงคลองตัน เขตวัฒนา เป็นบ้านของนายสุพจน์ และนายสุรพงษ์ เตชะวิบูลย์ นักธุรกิจวงการผลิตเยื่อกระดาษ
      
       ครั้งที่ 11 วันที่ 20 มีนาคม เกิดเหตุยิงจรวดอาร์พีจี เข้าใส่กระทรวงกลาโหม มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย พบผู้ต้องสงสัยพร้อมอาวุธ และออกหมายจับ ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม ตำรวจนอกราชการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหลบหนี ครั้งที่ 12 วันที่ 20 มีนาคม เกิดเหตุปาระเบิด M67 เข้าใส่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี ครั้งที่ 13 เกิดเหตุระเบิดที่โรงเรียนเปรมติณสูลานนท์ จังหวัดขอนแก่น ป้ายโรงเรียนเสียหาย แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ครั้งที่ 14วันที่ 22 มีนาคม เกิดเหตุยิงระเบิด M 79 จำนวน 2 ลูก เข้าใส่กระทรวงสาธารณสุขภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี มีรถยนต์เสียหายหลายคัน ครั้งที่ 15 วันที่ 23 มีนาคม เกิดเหตุยิงระเบิด M79 เข้าใส่เซ็นทรัลแอร์พอร์ต พลาซ่า เชียงใหม่
      
       ครั้งที่ 16วันที่ 23 มีนาคม เกิดเหตุยิงระเบิด M79 เข้าในอาคารหมวดการทางตลิ่งชัน สำนักงานบำรุงทางธนบุรี ครั้งที่ 17 วันที่ 24 มีนาคม เกิดระเบิดที่ป้อมยามศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี ครั้งที่ 18 วันที่ 24 มีนาคม เกิดเหตุระเบิดหน้ากรมบังคับคดี แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย คาดว่าจะมาจากระเบิด M 67 ครั้งที่ 19 วันที่ 25 มีนาคม เกิดเหตุลอบวางระเบิดM26 ที่บริเวณตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ครั้งที่ 20 ในวันเดียวกันคนร้ายได้โยนระเบิด M76 เข้าใส่รถกระบะที่ถนนติวานนท์ ก่อนถึงกระทรวงสาธารณสุข แต่ระเบิดไม่ทำงานเพราะสลักไม่หลุด ครั้งที่ 21 วันที่ 26 มีนาคม เกิดปาระเบิด M67ใส่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เขตจตุจักร แต่ไม่ระเบิด ครั้งที่ 22 เสาร์ 27 มีนาคม เกิดเหตุปาระเบิด M67หน้าอาคาร 120 ปี กรมศุลกากร เขตคลองเตย ครั้งที่ 23 วันเดียวกัน เกิดเหตุยิงระเบิด M 79 จำนวน 2 นัด ซ้ำด้วยการยิงปืนอาก้า และ เอ็ม 15 กว่า 30 นัดเข้าใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาดอกคำใต้ ครั้งที่ 24 ในช่วงเย็น คนร้ายขว้างระเบิดใส่สถานีโทรทัศน์ ช่อง 5 สนามเป้า ถ.พหลโยธิน มีผู้บาดเจ็บ 4 คน ครั้งที่ 25 ในช่วงค่ำ เกิดเหตุยิงระเบิด M79 เข้าใส่สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ถนนวิภาวดีรังสิต
      
       ครั้งที่ 26 วันที่ 28 มีนาคม เกิดเหตุยิงธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาว ถ.หลานหลวง กระจกหน้าธนาคารมีรอยกระสุน 5 รู มีพยานเห็นคนใช้ปืนลูกโม่ คาดว่าปืน .38 ครั้งที่ 27 ในเวลา 22.30 น. เกิดเหตุระเบิดหน้าบ้านพักนายบรรหาร ศิลปอาชา ตรวจสอบว่าเป็น M 67 มีผู้บาดเจ็บ 1 ครั้งที่ 28 ในเวลา 23.00 น. คนร้ายปาระเบิดธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด สาขาตลิ่งชัน ครั้งที่ 29 วันที่ 28 มีนาคม เกิดเหตุลอบวางระเบิดในตู้โทรศัพท์สาธารณะ หน้าวัดทรายมูลเมือง อ.เมือง เชียงใหม่ ไม่มีใครบาดเจ็บ ตู้โทรศัพท์หลังคาทะลุ รถเก๋งฮอนด้าซีวิคที่จอดใกล้เคียวเสียหาย ครั้งที่ 30 ในช่วง 22.10 น. เกิดปาระเบิดศาลปกครองเชียงใหม่ ไม่มีผู้บาดเจ็บ รุ่งเช้าจนท.มาตรวจสอบพบเป็นระเบิดชนิด M26
      
       ครั้งที่ 31 ในวันที่ 29 มีนาคม มีเหตุยิงปืนใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางยี่ขัน พบรอยกระสุนที่กำแพง และหัวกระสุนขนาด .38 จำนวน1 หัว ซึ่งห่างบ้านบรรหาร ศิลปอาชา เพียง 300 เมตร ครั้งที่ 32 วันที่ 5 เมษายน คนร้ายยิงระเบิด M79 เข้าไปในลานจอดรถห้างแมคโครเชียงใหม่ แต่ระเบิดไม่ทำงาน ชุดเก็บกู้ระเบิดเข้าตรวจสอบพร้อมทำลายระเบิด ครั้งที่ 33 ในช่วงเที่ยวคืนของวันที่ 5 เมษายน เกิดหตุคาร์บอมบริเวณลานจอดรถด้านข้างสถานบริการอาบ อบ นวด โพไซดอน ถนนรัชดาภิเษก แรงระเบิดยังส่งผลให้รถยนต์ฮอนด้า ซีวิค ที่จอบอยู่ใกล้เคียงเสียหาย และพนักงานรับรถได้รับบาดเจ็บ และ ครั้งที่ 34 วันที่ 6 เมษายน พบคนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่องหน้าประตูใหญ่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ไม่เกิดการระเบิดเพราะเครื่องอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ครั้งที่ 35 เวลา 15.30 น. ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังฉลองวันเกิดพรรคครบรอบ 64 ปี คนร้ายได้ยิงระเบิด M79 เข้าใส่ลานจอดรถที่ทำการพรรค ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันมีผู้เห็น พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก หรือเสธ.แดง เข้าไปป้วนเปี้ยนในบริเวณดังกล่าวก่อนเกิดเหตุระเบิด ครั้งที่ 36 มีคนร้ายวางระเบิดแสวงเครื่องใกล้แฟชั่นไอซ์แลนด์รามอินทรา แต่เจ้าหน้าที่ก็เข้าไปกู้ระเบิดได้ทัน
      
       อย่างไรก็ตาม มาตรการรองรับความรุนแรงของตำรวจนั้น ได้ใช้กำลังตำรวจทั้งหมด 49 กองร้อย ดูแลในภารกิจ 5 กลุ่ม คือ 1.รอบรัฐสภา 2.แนวถนนราชดำเนินทั้งหมดรวมทำเนียบรัฐบาล 3.การตั้งจุดตรวจรักษาการพื้นที่ชั้นในและชั้นกลาง 4.พื้นที่รอบนอก การตั้งจุดตรวจบ้านพักบุคคลสำคัญ และ5.หน้ากรมทหารราบที่ 11 รักาาพระองค์ โดยกำลัง 49 กองร้อยนั้น จะดูแลในพื้นที่ชั้นใน ส่วนในพื้นที่ชั้นกลางและนอกจะใช้กำลังทหารตามแนวปฏิบัติของ ศอ.รส.
      
       ทั้งนี้ เหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้น พบว่าความถี่ผันแปรไปตามความเข้มข้นของการชุมนุม โดยสาเหตุระเบิดที่ถี่ขึ้นจะมีมากในพื้นที่กทม.และปริมณฑลที่ประกาศใช้พร บ.ความมั่นคง โดยห้วงเวลาที่เกิดบ่อยมี 2 ช่วงคือ 20.00-22.00 น.และ 01.00-05.00 น. ซึ่งในจุดที่เจ้าหน้าที่หนาแน่นจะไม่ดำเนินการ และอีกส่วนคือใช้จังหวะที่มีช่องก่อเหตุในพื้นที่ที่มีสัญลักษณ์ทางการเมือง