Wednesday, April 7, 2010

“มาร์ค” ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง หยุดแดงป่วนชาติ

นายกฯ แถลงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล หลังม็อบแดงเหิมเกริม บุกรุกรัฐสภา เคลื่อนไหวผิดกฎหมายมากขึ้น จน พ.ร.บ.มั่นคง เอาไม่อยู่ เพื่อความสงบสุขแก่ประเทศ 



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

 วันนี้ (7 เม.ย.) เมื่อเวลา 18.05 น.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เป็นผู้กำกับดูแลและผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
  
       นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า ตั้งแต่มีการชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มี.ค.เป็นต้นมา รัฐบาลพยายามใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในการดูแลการชุมนุม แต่ยังไม่สามารถระงับยั้บยั้งการชุมนุมได้ จนพัฒนาเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาประชาคมโลก แม้รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างถึงที่สุดแต่ยังมีการขัดขืน และเคลื่อนไหวผิดกฎหมายมากขึ้น โดยเฉพาะ 2 วันที่ผ่านมา และวันนี้ยังได้บุกรุกสถานที่สำคัญ คือ รัฐสภา จึงได้เชิญ ครม.มาประชุมกรณีพิเศษวันนี้ และมีมติให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงขึ้น โดยหวังใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขสถานการณ์ เพื่อคืนความเป็นปกติสุขในกรุงเทพมหานคร ยับยั้งข้อมูลการสร้างความแตกแยก และยุยงให้มีการทำผิดกฎหมาย เพื่อใช้ในการดำเนินคดีแกนนำผู้ชุมนุมตามกระบวนการยุติธรรม และระงับเหตุวินาศกรรมหรือเหตุวุ่นวายให้มีประสิทธิภาพ
  
       ทั้งนี้ ตนหวังว่าจะให้ พ.ร.ก.ดังกล่าวเป็นเครื่องมือให้รัฐบาลทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ยืนยันว่า รัฐไม่ได้ปราบปรามผู้ชุมนุม แต่ต้องการคืนความเป็นปกติสุข และทำให้กฏหมายศักดิ์สิทธิ์ รัฐใช้ทุกวิธีทางตามกฎหมาย เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่คนกลุ่มหนึ่งได้กระทำผิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อความสงบสุข สร้างความเดือดร้อน ดังนั้น จึงขอประชาชนละเว้นการร่วมชุมนุม และหวังให้ทุกภาคส่วนในสังคมให้ความร่วมมือระงับใช้กฎหมาย โดยตนจะรายงานเป็นระยะ และยืนยันว่า ประชาชนทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชาติ ทั้งนี้ จะใช้กฎหมายเพื่อความสงบของประเทศอย่างรวดเร็ว เพื่อความปกติสุขต่อไป
  
       รายละเอียดคำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
       

       "พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ ตามที่ได้มีการเคลื่อนไหวชุมนุมของประชาชนกลุ่มหนึ่งนับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม เป็นต้นมา รัฐบาลได้พยายามบริหารสถานการณ์ภายใต้การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง ซึ่งมุ่งในการที่จะป้องกันเหตุร้ายและระงับยับยั้งเหตุร้ายที่จะมีผลกระทบ ต่อความมั่นคงของประเทศมาโดยตลอด กลับปรากฏว่า การดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลนั้นไม่สามารถที่จะดำเนินการระงับยับยั้งเหตุ ต่างๆ ได้ ในทางตรงกันข้าม การชุมนุมเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มนี้ได้พัฒนาไปสู่การกระทำที่เป็นการ กระทำที่ผิดกฎหมาย เป็นการชุมนุมที่เกินเลยขอบเขตของรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้ส่งผลกระทบให้เกิดความเดือดร้อนกับพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม อย่างกว้างขวาง รวมถึงกระทบกระเทือนถึงภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศในสายตาของ ประชาคมโลกด้วย
  
       แม้ว่ารัฐบาลจะได้มีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างดีที่สุด แต่กลับปรากฏว่ามีการขัดขืน และยิ่งไปกว่านี้ มีการพัฒนาการเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะที่ผิดกฎหมายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ที่ได้มีการขัดขืนการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย และวันนี้ยังได้มีการบุกรุกเข้าไปในสถานที่ราชการที่สำคัญ คือกรณีของการบุกรุกรัฐสภา ผมจึงได้มีการเชิญคณะรัฐมนตรีให้ประชุมเป็นกรณีพิเศษบ่ายวันนี้ และที่ประชุมได้มีมติให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขต ท้องที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 รวมทั้งได้มีการเห็นชอบในการออกข้อกำหนดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และได้มีมติในการจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยได้มีการแต่งตั้งให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงาน เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบ และเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
  
       ผมขอกราบเรียนพี่น้องประชาชนครับว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรงในครั้งนี้ รัฐบาลมีความมุ่งหวังในการที่จะใช้เครื่องมือตามกรอบของกฎหมายในการแก้ไข สถานการณ์ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการครับ
       ประการแรก เราต้องการที่จะคืนความเป็นปกติสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ต่างๆ ให้กับพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร
  
       ประการที่สอง เราจะต้องระงับ ยับยั้ง การเผยแพร่และการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารในลักษณะที่ทำให้เกิดความแตกแยก และยุยงส่งเสริมให้มีการกระทำการที่ผิดกฎหมายอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
  
       ประการที่สาม การประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ ก็เพื่อที่จะสามารถดำเนินคดีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแกนนำของการชุมนุม ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
  
       และประการสุดท้าย เพื่อที่จะไม่ให้มาตรการในการระงับเหตุ เช่น การก่อวินาศกรรมและเหตุอื่นๆ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  
       ผมขอย้ำกับพี่น้องประชาชนครับว่า กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือให้รัฐบาลนั้นสามารถบรรลุภารกิจเหล่านี้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า กฎหมายฉบับนี้มีความมุ่งหมายในเรื่องของการจะเข้าไปปราบปราม หรือทำร้ายประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป้าหมายของรัฐบาลนั้นคือ การคืนภาวะของการเป็นปกติ และทำให้กฎหมายนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมืองของเรา ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนั้น รัฐบาลก็ยังดำเนินการทุกวิถีทางที่เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย และเป็นไปตามหลักสากล
  
       ผมจึงอยากจะขอกราบเรียนไปยังพี่น้องประชาชนทุกท่านว่า ในขณะนี้เหตุการณ์บ้านเมืองของเรา ความสงบสุขของพี่น้องประชาชน และผลประโยชน์ของชาติ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการปฏิบัติการของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข ผมอยากจะให้พี่น้องประชาชนนั้นมีความเข้าใจครับว่า การกระทำใดๆ ที่ผิดกฎหมาย การกระทำใดๆ ที่กระทบต่อความสงบสุขของประชาชน และส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมนั้น ในที่สุดจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนและความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนทุก คน รวมทั้งบุคคลที่กระทำผิกฎหมายด้วย
  
       อยากจะขอให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจ และละเว้นจากการเข้ามาร่วมชุมนุมในลักษณะที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งบรรดาพี่น้องประชาชนที่ทราบว่ามีญาติ มีเพื่อน หรือมีใครก็ตามที่ท่านรู้จักเข้าร่วมชุมนุมนั้น ได้โปรดชี้แจงความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญด้วย
  
       ผมหวังจะได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ในการที่รัฐบาลจะได้บังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่ง จากนี้ก็จะมีการอ่านประกาศและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดต่างๆ และผมจะทำหน้าที่ในการรายงานการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นระยะๆ
  
       ขอให้ความมั่นใจอีกครั้งหนึ่งครับว่า รัฐบาลถือว่าพี่น้องประชาชนทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชาติ แต่วันนี้รัฐบาลจะต้องรักษากฎหมายให้มีความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนทั้งประเทศ และจะดำเนินการทุกวิถีทางอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เพื่อนำความปกติสุขกลับคืนมาให้พี่น้องประชาชน ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่งครับ"