Saturday, March 27, 2010

ทักษิณ"คนดีที่ประชาคมโลกไม่ต้อนรับ"

คุณประสพสุข บุญเดช "ประธานวุฒิสภา" นี่ ท่านเบ๊อะๆ ดีเนอะ เห็นออกมานั่งบ่น "ไม่พอใจ" ฝ่ายรักษาความมั่นคงที่ตั้งค่ายกลรอบรัฐสภา มาทำงานไม่สะดวก แต่ที่ต้องจีบปาก-จีบคอต่อว่า น่าจะเป็นเพราะน้อยใจที่เห็นหัว "ประสพสุข" เป็น "หัวตอ" หรืออย่างไร ทำอะไร บอกแต่ชัย ไม่ยักมาบอกประสพสุขบ้างเลย?!

ระวังนะท่าน "เจ้ายศ-เจ้าอย่าง" แบบนี้ จะไปเข้าทาง ๓ เกลอหัวขวด เขายิ่งปลุกประเด็น "อำมาตย์-ไพร่" อยู่ เดี๋ยวจตุพร-ณัฐวุฒิ ขึ้นเวทีโพนทะนา "ประสพสุข-เจ้าแห่งศักดินาอำมาตย์" ท่านก็จะต้องออกมานั่งเอ๊าะๆ แอ๊ะๆ อีกหรอก!

แค่ตำรวจ-ทหารมารักษาความปลอดภัย "ข้ามหัวท่าน" เข้มไปหน่อย เพื่อ "ไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย" โดยไม่บอกให้ทราบเท่านั้น ถึงขั้นต้องตั้งโต๊ะแถลงการณ์ผ่านจอโทรทัศน์ แสดงท่าที "กระฟัดกระเฟียด" เอากับฝ่ายทหาร-ฝ่ายรัฐบาลถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?

เคราะห์ดีนะที่ ซีนนี้ "เข้าตาเสื้อแดง" ไม่งั้นถูก "แจ้งดับ" ไปแล้ว!

จะต้องให้ม็อบเสื้อแดงบุกรัฐสภา แล้วเกิดเหตุนองเลือดซ้ำรอยอย่างเมื่อ ๗ ตุลา ๕๑ หรืออย่างที่บุกพังโรงแรมรอยัลคลิฟบีช พัทยา เมื่อ ๙ เมษา ๕๒ เสียก่อนหรืออย่างไร ค่อยให้ตำรวจ-ทหารเขามาสร้างคอกล้อมหลังควายตายไปทั้งโขยง ท่านประสพซู้กกกก?

ใจจริงๆ ผมนั้น ผมก็ว่า "ไม่ค่อยเข้าท่านัก" ที่ปิดล้อมเป็นการอารักขารัฐสภากันชนิด ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นนรก แต่เมื่อดูจากบทเรียน ที่พวกเสื้อแดงทักษิณเคยสร้างประวัติศาสตร์ทรามฝากไว้ ถึงครั้งนี้บอกว่า "จะไม่มาปิดล้อมรัฐสภา" แต่ถ้าฝ่ายรัฐบาล "ตายใจ" ไม่วางมาตรการป้องกันไว้ ก็จะคล้ายละเลยในวลี "สัจจะไม่มีในหมู่โจร"

ในการศึก ก็รู้อยู่แล้ว "ยอดที่สุดในการได้ชัย คือการได้จากการใช้เล่ห์"!

ฉะนั้น ถ้านายกฯ อภิสิทธิ์เชื่อง่ายๆ กระทั่งที่พวกเสื้อแดงบอกว่าจะไม่มาปิดล้อมรัฐสภา แล้วไม่หามาตรการป้องกันอารักขาไว้ เอาเข้าจริง "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้" พวกเสื้อแดงเฮละโลกันเข้ามาตะลุบตุ๊บตั๊บนายกฯ หรือ ส.ส. แบบนี้ไม่ต้องถามหรอกว่า "ใครต้องรับผิดชอบ?" ชาวบ้านจะประสานเสียงตรงกันว่า

"สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ"!

พวกแดง ๓ เกลอก็จะเยาะเย้ยแถมสอนมวยให้เสียด้วยว่า "ไอ้หน้าโง่ โปรดรู้ไว้ในศึกสงคราม แผนเพื่อชิงชัยมันเปลี่ยนได้ทุกเวลา ขึ้นอยู่แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามเปิดร่อง-ช่องโหว่ให้ตรงไหน ก็ต้องรีบตียุดจุดตายตรงนั้นเพื่อกำชัยในทันที"

นี่พูดแบบแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ แต่ถ้าพูดแบบปัดความรับผิดชอบ แดง ๓ เกลอเขาก็สามารถกะล่อนปล้อนปลิ้นตามปกติวิสัยได้ว่า

"ข้าเปล่า...แดงเทียมมันทำ"!?

ทั้งระยำ ทั้งเสียหมาไปเลยมั้ยล่ะตานี้!

คนดีมันแพ้คนเลวอยู่อย่างคือ คนดี-มีหิริ คือความละอาย และมีโอตตัปปะ คือความเกรงกลัว ที่ว่าละอายคือ จะพูด-จะทำในสิ่งที่ไม่จริง ก็เขิน ไม่กล้า ทำไปก็สบตาใครไม่สนิท เพราะละอายในบาป และที่ว่าเกรงกลัว ก็คือเกรงกลัวในบาป ก็เลยไม่กล้าคิดชั่ว-ทำชั่ว-พูดชั่ว ชนิดที่เรียกว่า ทำได้เลวสุดขั้ว-ทำได้ชั่วทะลุนรก

ด้วยเงื่อนไขนี้ คนดีก็มักตกอยู่ในฐานะ "ผู้ถูกกระทำ" เป็นฝ่ายตั้งรับ เสียเปรียบอยู่ร่ำไป!

ตรงข้ามกับคนเลว ไม่มีทั้งหิริ และโอตตัปปะ มันพูดได้ทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง คิดได้ทุกอย่าง โดยไม่ละอาย และไม่เกรงกลัวบาป ดังนั้น หลายคนเมื่อได้ยินพวกเสื้อแดงทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ "พูดหน้าด้านๆ" พูดเอาแต่ได้ คือพูดพลิกจากขาวเป็นดำ จากดำเป็นขาว เพื่อให้ตัวเองดี ตัวเองถูก

ทั้งที่ตัวเองก็รู้ คนทั้งโลกก็รู้ว่าที่ทำกันอยู่นั้น มันชั่ว มันเลว มันทำลายชาติบ้านเมืองตัวเอง แต่ก็กล้าพูด กล้าทำ กล้าพลิกแพลงตะแคงลิ้น ชิงความเป็นผู้ตั้งโจทย์ใส่สังคมได้ตลอดเวลา ด้วยหนังหนา-หน้าด้าน คนชั่วจึงมักได้เปรียบคนดีตรงนี้แหละ

แต่ก็พักเดียว....

พอลงท้าย...เขาวัว-เขาควาย ไม่เคยปรากฏว่ากลายเป็น "งาช้าง" ได้เลย!?

พวกเสื้อแดง มันสรรแต่งเรื่องเป็นคำพูดจนคนทั้งโลกฟังไป-ฟังมา กลายเป็นว่า ทั้งเมืองไทย-ใครที่อยู่ตรงข้ามทักษิณ เป็นคนไม่ดีหมด เป็นคนโกง เป็นคนทำลายชาติ ไม่เป็นประชาธิปไตย

แต่มันน่าสงสัยว่า ทำไม...คนดีที่พวกเสื้อแดงยกย่อง ขนาดยอมเผาประเทศให้อย่างทักษิณ นานาอารยประเทศอย่างเช่น สหรัฐ จีน อังกฤษ ยุโรป แม้กระทั่งในอาเซียนด้วยกันเกือบทั้งหมด เขาจึงรังเกียจ ไม่ยอมแม้กระทั่งจะให้เฉียดกรายผ่านเข้าไปในประเทศของเขา?

คนดีอย่างทักษิณ ศาลเดียวกันนั้น ตัวเองใช้สถานภาพโจทก์ฟ้องร้องเอาคนโน้น-คนนี้เข้าคุกแทบไม่เว้นแต่ละเดือน แต่พอตัวเองถูกฟ้อง ถูกตัดสินเป็นผู้ผิดที่ศาลเดียวกันนั้นบ้าง กลับหนีไปอยู่นอกประเทศ แล้วกล่าวร้ายป้ายสีศาลว่า ตัดสินไม่ยุติธรรมบ้าง มีธงให้ตัดสินบ้าง?

และคนดีอย่างทักษิณ รัฐสภาสมัยเดียวกันนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๒ ระบุให้การเลือกตัวนายกฯ เป็นสิทธิ์ของ ส.ส.ทั้งหมดเลือกกันเองด้วยเสียง "มากกว่ากึ่งหนึ่ง" ของสมาชิกสภาผู้แทนฯ ขณะนั้น

ส.ส.ทั้งสภาฯ เลือกนายสมัครเป็นนายกฯ ทักษิณชื่นชมข้ามประเทศว่า...เป็นประชาธิปไตย

ครั้นนายสมัครพ้นไป ส.ส.ทั้งสภาฯ เดียวกันนี้ เลือกนายสมชายเป็นนายกฯ สืบต่อ ทักษิณก็ชื่นชมข้ามประเทศว่า...เป็นประชาธิปไตย

ต่อมานายสมชายพ้นไป ส.ส.ทั้งสภาฯ เดียวกันนี้ พรรคเพื่อไทยของทักษิณส่ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เข้าแข่งขันกับนายอภิสิทธิ์ ปรากฏว่า ส.ส.มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมดเลือกนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ คนของทักษิณแพ้

ทักษิณกลับตะโกนข้ามประเทศว่า...ไม่เป็นประชาธิปไตย?!

ใครที่ไม่ใช่พวกทักษิณ ถูกเสื้อแดงด่าหมด ด่าว่าพลเอกเปรมทุจริต-ทำลายชาติ ด่าว่าพลเอกสุรยุทธ์ทุจริต-ทำลายชาติ ด่าว่าพลเอกพิจิตรทุจริต-ทำลายชาติ ด่าว่านายกฯ อภิสิทธิ์ทุจริต-ทำลายชาติ แม้กระทั่งอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน แค่ออกมาแสดงทัศนะต่อปัญหาบ้านเมืองไม่ถูกใจ ก็ถูกด่าเป็นพวกทุจริต-ทำลายชาติ

มีคนเดียวที่พวกเสื้อแดงยกเทิดทูนว่าเป็นคนดี เป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนไม่โกง เป็นคนไม่ทำลายชาติ

คือ...ทักษิณ?!

เมื่อเป็นอย่างนี้ ทุกวันนี้ จึงเป็นที่รู้กันได้-เข้าใจกันได้เป็นรหัสสากลว่า ถ้าได้ยินพวกเสื้อแดงพลิกแพลงตะแดงด่าใคร เชื่อได้ คนนั้น-ใช่คนดี

แต่ถ้าพวกเสื้อแดง จะกี่เกลอก็ตามชมใคร เทิดทูน ยกย่องใครว่าเป็นคนดี เป็นประชาธิปไตย เป็นคนไม่โกงบ้าน ไม่กินเมือง เอาปูนหมายหัวได้เลย....จัญไรยกโคตร!

วัน-สองวันนี้ พวกแดง ๓ เกลอเขาเป็น "แดงเทพ" ฉะนั้น ควรต้องระวัง "แดงเทียม" ที่พล่านปฏิบัติการป่วนเมืองกันหน่อย เพราะช่วงนี้กรุงเทพฯ และปริมณฑลกลายเป็น "เขตกระสุนตก" ไม่เว้นแต่ละคืน จะสังเกตเห็นว่า ไม่เอ็ม ก็อาร์พีจี หรือไม่ก็ลูกระเบิดตั้งเวลา มาคืนละ ๒ แห่ง ดูท่าคล้ายกับว่าตามแผน "ไม่เจรจา" ใช้จรยุทธ์

เขาจะทำให้กรุงเทพฯ เป็น ๓ จังหวัดภาคใต้!?

กระสุนที่ตกกรุงเทพฯ ทุกคืนขณะนี้ มันมีความเหมือนในเหตุการณ์ แต่แตกต่างในสถานที่อยู่นิด วันนี้แดงชุมนุม กระสุนจะตกแถวๆ กลาโหมบ้าง แถวๆ กระทรวงบ้าง แถวๆ สถานที่ราชการชานเมืองบ้าง หมุนเวียนกันไป คือตกที่ไหนก็ได้ เว้นอยู่ที่เดียวที่กระสุนจะไม่มาตกเลย

คือวงชุมนุมพวกเสื้อแดง!?

ตกทีไร ๓ เกลอก็จะออกมาตีหน้าเก๋ไก๋บอกว่า "แดงเทียมมันทำ" บ้าง ฝ่ายรัฐบาล-ทหารทำเองเพื่อสร้างสถานการณ์ป้ายผิดบ้าง!?

แต่สมัยที่เหลืองชุมนุม วิถีกระสุนแม่นเป๊ะ วี้ดดดดบึ้มมมม ลงกลางวง-กลางกระบาลเสื้อเหลืองทุกที โดยมีแถลงการณ์ทั้งก่อนอาหารและหลังอาหารจาก เสธ.แดงแจ้งรายการทุกครั้งไป

สิ่งที่น่าพิจารณาก็คือว่า ตอนเหลืองชุมนุม เป็นปฏิปักษ์รัฐบาลนอมินีทักษิณ ระเบิดตกใส่เหลือง แต่พอแดงชุมนุม เป็นปฏิปักษ์รัฐบาลตรงข้ามทักษิณ ระเบิดกลับตกใส่รัฐบาล-บ้านเมือง?

ผมถึงว่า พระน่ะเสียเปรียบโจรอยู่วันยังค่ำ แต่ลงท้าย "โจรตาย" พระนั้น ยังไงก็..ตกน้ำไม่ไหล-ตกไฟไม่ไหม้ ใครไม่เชื่อก็ไปดูหนังเรื่อง "นาคปรก" ได้ ผมไปดูมาแล้ว ติดใจ กะว่าจะไปดูซ้ำอีกรอบ

เสื้อเหลืองชุมนุม พกพระ-เลยถูกระเบิด

ส่วนเสื้อแดงชุมนุม พกโจร-เลยรอดระเบิด

เออ...ก็แปลกดีเนอะ!?

๒๖ กุมภา ๕๓ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายึดทรัพย์ทักษิณ ๔.๖ หมื่นล้าน วันนี้ ๒๖ มีนา ๕๓ อุทธรณ์คำสั่งยึดทรัพย์ ส.ส.แดงไม่ประชุมสภาฯ แต่มาตั้งเวทีกลางถนน ทักษิณสั่งทำสงครามครั้งสุดท้ายด้วยการให้พลศึก "ติดดาบปลายปืน" รอคำสั่งปฏิบัติการสายฟ้าแลบในวันพรุ่งนี้ เสาร์ที่ ๒๗ มีนา

สวรรค์มีทางให้ไป กลับไม่ไป

นรก ช่องเท่าปลายรูเข็ม กลับแสวงหา

อาาาา....หรือว่านี่ ชะตาแม้ว!?

ปิด ฉากทวงคืน ปตท.เหมือนแพ้แต่ชนะ รสนา หาช่องลุยฟ้องศาลแพ่ง



Anti-Corruption Center : คำพิพากษาประวัติศาสตร์ของศาลปกครองสูงสุดที่แม้ไม่สั่งเพิกถอน ปตท.ออกจากตลาดหุ้น แต่ก็มีประกาศิตให้ ปตท.โอนสินทรัพย์ของหลวง คือ ที่ดิน ท่อส่งก๊าซ และท่อส่งน้ำมัน กลับคืนกระทรวงการคลัง ทำให้ไม่อาจด่วนสรุปได้ว่ายุทธการทวงคืน ปตท.ของสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคครั้งนี้แพ้หรือชนะ

จับกระแสความ รู้สึกผู้คนส่วนหนึ่งเห็นว่า ปตท.ชนะ เพราะเสียทรัพย์ที่ไม่พึงได้ไปส่วนหนึ่งเท่านั้น

บ้างก็ว่างานนี้ปิด ฉากแบบ Win-Win หรือบัวไม่ช้ำ...น้ำไม่ขุ่น !!

สารี อ๋องสมหวัง และรสนา โตสิตระกูล แกนนำขบวนการทวงคืน ปตท.แต่ สายสืบภาค ประชาชน เห็นว่างานนี้ "เหมือนแพ้แต่ชนะ" กล่าวให้ชัดก็คือ "ประชาชนเหมือนแพ้แต่ชนะ"

เหตุ ที่ว่าประชาชนเหมือนแพ้ก็เพราะ...ไม่สามารถทวงคืนสินทรัพย์ของ ปตท.ซึ่งเป็นสมบัติของชาติกลับมาได้ทั้งหมด ส่วนที่ว่าชนะก็เพราะ...สามารถทวงคืนอสังหาริมทรัพย์กลับคืนมาเป็น ของรัฐได้ แต่ว่าจะมีมูลค่าเป็นเม็ดเงินเพียง 1 แสนล้านบาทตามการคำนวณของผู้บริหาร ปตท.หรือไม่ ? คงไม่ใช่เรื่องยากนักในการตรวจสอบของ สตง.

แต่หัวใจสำคัญของประเด็น ที่ว่า "ประชาชนเหมือนแพ้แต่ชนะ" ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยในการเห็นควรไม่สั่งเพิกถอน ปตท.ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ความว่า...

"...ศาล ปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ได้มีการเปลี่ยนสภาพ ปตท.ไปเป็น บมจ.ปตท.และได้นำหุ้นของ บมจ.ปตท.เข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2544 หากมีการเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เพื่อให้สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐ กลับไปเป็นของ ปตท.ดังเดิม ย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่า อาจก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะความมั่นคงด้านพลังงาน ทั้งยังอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อตลาดทุนรวมถึงตลาดเงิน และบุคคลภายนอกที่มีนิติสัมพันธ์กับ บมจ.ปตท. ทั้งอาจก่อให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายตามมาอีกนานับปการด้วย..."

อัน เป็นข้อเท็จจริงแห่งดุลพินิจที่ชวนให้เข้าใจได้ว่า แม้มีเหตุผลเพียงพอในการทวงคืน ปตท.แต่ศาลก็ไม่สามารถตอบสนองคำร้องของกลุ่มผู้ฟ้องคดีได้ เนื่องจากเกรงจะเกิดผลกระทบในวงกว้างทางเศรษฐกิจ สังคม และอื่น ๆ อีกมากมาย

อัน เป็นการสะท้อนถึงดุลพินิจในการใช้หลักรัฐศาสตร์นำหลักนิติศาสตร์ และเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นถึงอิทธิพลแห่งมายาคติของตลาดทุนและตลาดเงินใน ประเทศไทยอย่างแท้จริง

ส่วนการจะบรรลุเป้าหมายแห่งความ "เหมือน แพ้แต่ชนะ" อีกขั้นหนึ่งนั้น วิญญูชนผู้ยึดมั่นในหลักนิติธรรมคงต้องเป็นกำลังใจและให้การสนับสนุน คุณ รสนา โตสิตระกูล กับพวกที่มีข่าวว่าจะศึกษาคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดอย่างละเอียดเพื่อหา ช่องทางในการฟ้องทางแพ่งต่อกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องในการแปรรูป ปตท.จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนอย่างยากที่จะประเมินค่า

ด้วย จิตคารวะนักสู้ของประชาชน

สายสืบภาคประชาชน (14 ธันวาคม 2550)

ข่าวเกี่ยวเนื่อง

ศาลฯ สั่งไม่เพิกถอนหุ้น ปตท.จากตลาด ส่วนที่ดิน-ท่อก๊าซ-ท่อน้ำมัน โอนคืนแผ่นดิน

ศาลปกครอง มีคำพิพากษา ไม่เพิกถอนหุ้น ปตท.จากตลาดหลักทรัพย์ ส่วนที่ดิน-ท่อกาซ-ท่อน้ำมัน ให้โอนคืนรัฐบาล เพราะเป็นทรัพย์สินแผ่นดิน พร้อมยกฟ้อง "ปิยสวัสดิ์" กรณีการแปรรูปถูกต้องตามกฎหมาย

การตัดสินคดีบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) หรือ PTT เช้าวันนี้(14 ธ.ค.) ตุลาการศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาไม่เพิกถอนหุ้น PTT ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนและประชาชนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ท่อส่งก๊าซ และท่องส่งน้ำมัน กลับคืนให้กับรัฐบาล

คดีนี้ มูลนิธิผู้บริโภคและเครือข่าย นำโดย นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา เลขาธิการมูลนิธิ ฯ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิฯ และองค์กรเครือข่ายประกอบด้วย น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค ฯลฯ ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และนายวิเศษ จูภิบาล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2549

โดยให้ เพิกถอนพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับเกี่ยวกับการแปรรูป ปตท. ได้แก่ พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และ พระราชกฤษฎีกา กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 เนื่องจากไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ และขัดรัฐธรรมนูญ เช่น ขั้นตอนการดำเนินการขัดแย้งกับกฎหมาย การรับฟังความคิดเห็นไม่รอบด้าน ซึ่งศาลฯ มีคำสั่งรับคำฟ้องไว้ในสารบบ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2549 และศาลปกครองสูงสุด กำหนดวันพิพากษาคดีในวันที่ 14 ธ.ค. 2550

ศาล ปกครองสูงสุดได้อ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง สรุปได้ว่า ไม่เพิกถอนกฎหมายแปรรูป ปตท. ทั้ง 2 ฉบับ เนื่องจากเกรงจะเกิดผลกระทบในวงกว้าง จึงทำให้ PTT มีสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดต่อไป แต่ให้แก้ไขประเด็นต่าง ๆ ที่ขัดต่อข้อกฎหมาย โดยเฉพาะให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเวนคืน และท่อส่งก๊าซ-น้ำมัน กลับคืนไปให้กับกระทรวงการคลัง เพราะถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน

นอกจากนี้ ศาลยังให้ยกฟ้องในบางประเด็น อาทิ คุณสมบัติของนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขณะนั้นเป็นเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กับนายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นข้าราชการคุณวุฒิ จึงสามารถเป็นคณะกรรมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ได้

ส่วนประเด็นที่ 2 กรณีการถือหุ้นของนายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิเศษ จูภิบาล อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. ศาลยกฟ้อง เพราะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนสถานะของ ปตท.

และประเด็นที่ 3 กรณีการจัดตั้งคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ก็เป็นไปตามกฎหมายทุกประการ

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คำพิพากษาคดีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.ที่ออกมาว่าไม่ถอดถอนบริษัทออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นเรื่องปกติ โดยต้องดูต่อไปว่าการที่ศาลปกครองสูงสุดสั่งให้ ปตท.คืนทรัพย์สินให้แก่รัฐจะมีมูลค่ามากเท่าไร และจะส่งผลกระทบต่อรายได้และผลกำไรของบริษัทมากน้อยเพียงใด ซึ่งหากทำให้รายได้ลดลงมาก ก็จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ ปตท.ได้

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 14 ธันวาคม 2550 13:05 น.
ที่ มา : http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9500000148230

ข้อมูลเกี่ยวเนื่อง

ดาวน์โหลดสรุปข่าว "คดีทวงคืน ปตท."
http://www.admincourt.go.th/attach/news_attach/2007/12/press14122550.pdf
ดาวน์โหลดคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด "คดีทวงคืน ปตท."
http://www.admincourt.go.th/50/s50-0035-js01.pdf

หรือเข้าหน้าหลักเว็บไซต์ศาลปกครอง
http://www.admincourt.go.th/news_01_detail.aspx?News_data_Index=+4404+

Friday, March 26, 2010

วิดีโอลิงก์หลักฐานมัด “แม้ว” บีบยุบสภา-สถาปนารัฐไทยใหม่


ในที่สุดม็อบไพร่แดงก็เริ่มจะกระสากลิ่นหรือรับรู้กันแล้วว่า การชุมนุมและประกาศสงครามไพร่ล้มอำมาตย์นั้น เป้าหมายของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ได้หยุดอยู่แค่การยุบสภา หากแต่มุ่งหมายถึงขั้นต้องการสถาปนารัฐไทยใหม่ที่ไม่ใช่การปกครองระบอบ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีเจตนาสูงสุดถึงขั้น “ล้มเจ้า”

และถ้าหากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป คนเสื้อแดงที่ถูกหลอกมาโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงหรือมาเพราะได้รับอามิสสินจ้าง จะพากันยกขบวนกลับถิ่นฐานบ้านช่องของตัวเอง

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการนำตัว “ไพร่ตัวแม่” อย่าง (ท่านผู้หญิง) วิระยา ชวกุล ผู้อื้อฉาวจากกรณีเสื้อสีฟ้า มาขึ้นเวทีพร้อมจุดเทียนชัยถวายพระพร เพื่อเป็นการอำพรางมิให้ไพร่แดงต้องตีจาก

**ชำแหละวิดีโอลิงก์ล้มเจ้า

อย่างไรก็ตาม การรับประกันความจงรักภักดีโดย(ท่านผู้หญิง) วิระยา ก็มิอาจทำให้สังคมเชื่อได้ว่า นช.ทักษิณจงรักภักดีจริงๆ เพราะทั้งพฤติกรรมและคำพูดของเขาที่ปรากฏให้เห็นต่างกรรมต่างวาระ ล้วนแล้วแต่มิอาจตีความเป็นอื่นได้ โดยเฉพาะการประดิษฐ์วาทกรรม “อำมาตย์-ไพร่” ที่สังคมเริ่มเข้าใจแล้วว่า มิใช่หมายถึง “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเท่านั้น เนื่องจากในแต่ละครั้งที่ไพร่ตัวพ่อหรือบรรดาหัวโจกไพร่ทั้งหลายพูดถึง พล.อ.เปรม พวกเขาจะเอ่ยชื่อ “พล.อ.เปรม” โดยตรง แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องการสื่อความหมายให้เหนือไปกว่าพล.อ.เปรมเขาก็เจตนา ที่จะใช้คำว่า “อำมาตย์” แทน

หากไล่เรียงพฤติกรรมและวาทกรรมของนช.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งหัวโจกไพร่แดงทั้งหลายตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันก็จะยิ่งเห็นความ ชัดเจนว่า ช่างเป็นการกระทำที่สวนทางกับคำถวายสัตย์ปฏิญาณที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนวัน ที่ 24 มี.ค.โดยสิ้นเชิง

เริ่มตั้งแต่การไปนั่งเป็นประธานทำบุญประเทศในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 10 เม.ย.48 โดยแต่งกายไม่สุภาพ ไม่ใส่ชุดปกติขาว แถมยังนั่งล้ำหน้าผู้ร่วมงานคนอื่นๆ โดยมีพรมแดงรองพื้น และมีเจ้าหน้าที่มาคุกเข่าให้ นช.ทักษิณกรวดน้ำ

หากยังจำกันได้ หลังภาพดังกล่าวปรากฏออกมา “ศ.ระพี สาคริก” ได้เขียนจดหมายถึง “นายสนธิ ลิ้มทองกุล” เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2548 โดยอธิบายความว่า องค์ประธานในพระราชพิธีภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้นต้องเป็นพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น การที่นายกฯทักษิณ ชินวัตรเข้าไปนั่งเป็นประธาน เป็นสิ่งที่ไม่บังควรและไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใส่เสื้อแขนสั้นสวมใส่รองเท้าบนพรมสีแดง โดยมีข้าราชการนั่งคุกเข่ารองรับการกรวดน้ำ

นอกจากนี้ หากไปพินิจพิเคราะห์ถ้อยคำที่ นช.ทักษิณวิดีโอลิงก์เข้ามายังเวทีชุมนุมของไพร่แดงนับตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมาก็ยิ่งเห็นความชัดเจนในเรื่องนี้มากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นการวิดีโอลิงก์ของ นช.ทักษิณที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 มี.ค.53ที่ผ่านมา

"กราบเรียนอำมาตย์ด้วยความเคารพว่า หยุดรังสีอำมหิตได้แล้ว มันชัดจนระบบไม่เป็นระบบแล้ว ชัดจนกฎหมายไม่เป็นกฎหมายแล้ว ชัดจนเห็นว่าท่านไม่มีความเป็นธรรม ใครๆ ก็หวังพึ่งความเป็นธรรมของท่าน ไม่เหลืออยู่เลยหรือ เข้าใจว่าท่านถูกเพ็ดทูลว่าเสื้อแดงอีกไม่นานก็ฝ่อ หมัดแรกพอไหว ไทยรักไทยคนก็ยังงงอยู่ หมัดที่สองพอทำเนา พลังประชาชน หมัดที่สาม กำลังเงื้อแต่ไม่มีใครรับได้แล้ว

“อำมาตย์อยู่เหนือการเมืองเถอะ ให้การเมืองบริหารประเทศโดยประชาชนเป็นคนตัดสินว่าชอบหรือไม่ชอบ เลือกหรือไม่เลือก แต่อย่ามองว่าตนมีเงินเยอะ เพราะวันนี้ก็ปล้นไป 4 หมื่นกว่าล้านแล้ว ถ้ามองว่าตนมีเงินก็ต้องมองว่าตนมีสมองด้วย และสมองตนเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งชาติแน่นอน อย่าคิดมาก”

ถ้อยคำในวิดีโอลิงก์เมื่อวันที่ 19 มี.ค.มีถ้อยคำ 1 คำกับอีก 1 ประโยคที่ต้องขยายความเพราะเป็นถ้อยคำที่พุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างตรงไปตรงมา

คำแรกที่ต้องกล่าวถึงคือคำว่า “เพ็ดทูล” เพราะคำคำนี้ไม่ใช่คำศัพท์ที่สามัญชนคนธรรมดาจะใช้กันอย่างทั่วไป ดังนั้น นช.ทักษิณจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประโยคที่เขาเจตนาพูดออกมานั้นต้องการสื่อให้คนฟังเข้าใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ส่วนอีกหนึ่งประโยคที่ต้องกล่าวถึงคือประโยคที่บอกว่า “วันนี้ก็ปล้นไป 4 หมื่นกว่าล้านแล้ว” ประโยคนี้ นช.ทักษิณมีเจตนาชัดแจ้งว่า ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน

นช.ทักษิณมีเจตนาชี้ให้เห็นชัดเจนว่า “ใคร” กำลังปล้นเงิน 4.6 หมื่นล้านของเขาไป

หากยังจำกันได้ คำว่าปล้นนี้เป็นวาทกรรมที่เคยมีการนำมาใช้แล้วครั้งหนึ่งใน “สื่อล้มเจ้า” อย่าง “นิตยสารเสียงทักษิณ(Voice of Taksin)” ฉบับที่ 16 ปักษ์แรกเดือนมี.ค.53 ที่บนปกมีข้อความว่า “ปิดหน้าปล้นแตกหัก” พร้อมทั้งลงภาพพญาครุฑที่ถูกปิดหน้าด้วยรังผึ้ง ซึ่งสื่อให้เห็นกันชัดๆ ว่า มุ่งโจมตีสถาบันเบื้องสูง เนื่องจากพญาครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทย

ถัดจากนั้นอีก 1 วันคือวันที่ 20 มี.ค.53 นช.ทักษิณก็วิดีโอลิงก์ถ้อยคำที่ส่อเจตนาจาบจ้วงสถาบันอีกด้วยคำพูดที่ว่า “อยากจะกราบวิงวอนอำมาตย์ว่า เรามีวัฒนธรรมสืบทอดมาร้อยๆ ปี เพียงแต่ขอให้เมตตาคนไทยอย่างเสมอภาค อย่าเลือกสี อย่ามองว่าคนเสื้อแดงไม่จงรักภักดี จะล้มล้างราชบัลลังก์ พวกเราต้องการแค่เสรีภาพ เสมอภาค และความเป็นธรรมภายใต้ระบอบประชาธิปไตย”

ประโยคนี้ก็มีความชัดเจนเช่นกัน เพราะคำพูดที่ว่าอยากจะกราบวิงวอนอำมาตย์ว่า เรามีวัฒนธรรมสืบทอดมาเป็นร้อยๆ ปีนั้น มิอาจตีความเป็นอื่นได้ว่า หมายความถึงสถาบันพระมหากษัตริย์

ถัดจากนั้นอีก 1 วันคือวันที่ 21 มี.ค.53 นช.ทักษิณก็วิดีโอลิงก์เข้ามาอีกครั้งในท่วงทำนองเดิมเกี่ยวกับเรื่องความ ยุติธรรมว่า “เรื่องความยุติธรรมก็สำคัญ ต้องทำสิ่งไม่ยุติธรรมวันนี้ให้ยุติธรรมขึ้นเรื่อยๆ ศาลทุกครั้งที่ตัดสินโดยเฉพาะคดีการเมืองในช่วงหลังการปฏิวัตินั้น มีคำถามว่าตัดสินไม่เป็นธรรม เอาใจข้างเดียว ดังนั้นเมื่อความยุติธรรมไม่มี ประชาธิปไตยก็ไม่พัฒนา วันนี้ประชาชนจึงลุกขึ้นมาขอ แล้วแบบนี้ยังจะปราบปรามประชาชนอีกหรือ”

นช.ทักษิณมีเจตนาที่จะกล่าวโจมตีศาลสถิตยุติธรรมของไทยที่กระทำการ ภายใต้พระปรมาภิไธยอีกเช่นกันว่า ไม่มีความยุติธรรม

นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปในการวิดีโอลิงก์ก่อนหน้านั้นไม่นานนักก็จะพบคำที่น่าสะพรึง กลัวเข้าไปอีก นั่นคือคำพูดที่ว่า “อำมาตย์อายุ 80 กว่าแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ตายแล้ว” อำมาตย์ในความหมายของ นช.ทักษิณไม่น่าจะหมายถึง พล.อ.เปรม เพราะ พล.อ.เปรมเกิดในปี พ.ศ.2463 ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็มีอายุ 90 ปีแล้ว

หรือการที่ นช.ทักษิณกล่าวว่า “อำมาตย์ร่ำรวยแล้ว มีมรดกให้ลูกหลานอย่างเพียงพอแล้ว ปล่อยประชาชนไปเถอะ” อำมาตย์ในความหมายของเขาก็ไม่น่าจะหมายถึง พล.อ.เปรมอีกเช่นกัน เพราะพล.อ.เปรมไม่เคยมีลูกหรือมีเมีย

ดังนั้น ในทั้ง 2 กรณี นช.ทักษิณจึงไม่ได้หมายความถึง พล.อ.เปรมอย่างแน่นอน

ที่สำคัญคือ หากยังจำกันได้ในการวิดีโอลิงก์ช่วงวันแรกของการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง นายใหญ่ผู้นี้ยังเคยกล่าวด้วยว่า “คนที่บอกให้ตนพักจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2549 เหตุใดวันนี้จึงไม่บอกให้นายอภิสิทธิ์พักบ้าง” ซึ่งหากจะให้เข้าใจให้ชัดๆ คงต้องย้อนกลับไปในคืน วันที่ 4 เม.ย.49 ก่อนที่ นช.ทักษิณจะประกาศเว้นวรรคทางการเมือง เพราะการประกาศเว้นวรรคในครั้งนั้นเป็นไปอย่างฉุกละหุกและเกิดขึ้นภายหลัง จากเสร็จสิ้นภารกิจในการเดินทางเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ หัวหิน

**ถอดรหัสโจกแดง ตอกย้ำร่วมล้มเจ้า

มิเพียงแค่ไพร่ตัวพ่ออย่าง นช.ทักษิณเท่านั้นที่แสดงตนให้เห็นชัดเจนถึงการปฏิเสธสถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่บรรดาหัวโจกเสื้อแดงทั้งหลายก็มีพฤติกรรมและคำพูดที่เป็นไปในลักษณะ เดียวกัน

เริ่มจากบนเวทีเสื้อแดงที่จังหวัดอุดรธานี ในค่ำคืนวันที่ 12 มี.ค.ซึ่งมีการปลุกระดมโหมโรงก่อนการชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ 'อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง' อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ที่ถูกฟ้องล้มละลาย และหนึ่งในแกนนำสายแดงฮาร์ดคอร์ได้ประกาศอย่างเหิมเกริมว่า “ ครั้งนี้เป็นการคิดบัญชีรัฐบาลทรราช อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวกอำมาตย์เฒ่าทั้งหลาย คุณไม่ต้องมาบอกว่าสถานที่สำคัญที่เขาจะไปก่อวินาศกรรม คุณไม่ต้องกุข่าวว่าสถานที่ที่เป็นโรงพยาบาล ถนนราชวิถี สะพานข้ามแม่น้ำ โรงพยาบาลศิริราช ….............ฯลฯ คุณไม่ต้องบอก ถ้าหากคุณใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดง รับรองว่าไอ้สิ่งที่คุณพูดนี่จะไม่มีเหลืออยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน!!! ”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า โรงพยาบาลศิริราชนั้นเป็นที่ประทับขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่ง ขณะนี้ทรงประทับรักษาพระองค์อยู่ ขณะที่ถนนราชวิถีนั้นก็เป็นถนนที่ตัดผ่านพระราชวังสวนจิตรลดา

ตามต่อด้วย “นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา” อดีตผู้พิพากษาที่ผันตัวมาเป็นคนรับใช้ทักษิณที่ไปปราศรัยด้วยถ้อยคำที่เมา มันบนเวทีผ่านฟ้าฯ เมื่อวันที่ 19 มี.ค.53 ก็มีความชัดเจนว่ามีเจตนาอะไร “ความเสมอภาค ความเท่าเทียม เขาถือเป็นหลักการของมนุษย์ ตั้งแต่สมัยโบราณ สมัยเปาบุ้นจิ้นเคยได้ยินคำนี้มั้ยครับ ฮ่องเต้ทำผิด รับโทษเท่าสามัญน่ะ ... (คนเสื้อแดงเฮ) ... เพราะเขาเน้นความเท่าเทียมกัน ที่ประเทศอังกฤษ ขนาดเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ขับรถเร็ว ตำรวจจับ ศาลสั่งปรับเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ตั้งหลายร้อยปอนด์ ... เพราะเขาไม่มีแบ่งอำมาตย์-ไพร่ เขาใช้กฎหมายเสมอภาคกัน (คนเสื้อแดงปรบมือ) ...”

วันเดียวกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ยังบังอาจเรียกร้องให้สำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะต้นสังกัด สำนักพระราชวัง ให้ดำเนินการเปิดจุดลงนามถวายพระพรในหลวงเพิ่มเติม เช่น วัดพระแก้ว ทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่มีการงดการลงนามถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช ในช่วงที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งการงดการลงนามเป็นการปิดโอกาส และตัดขาดประชาชนไม่ให้ลงนามถวายพระพรได้ จึงอยากให้มีการเปิดจุดลงนามเพิ่มเติม

ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา “นายสุทิน คลังแสง” อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชาชนได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่สะพานผ่านฟ้าฯ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า “บ้านจะดีได้ต้องเริ่มที่พ่อและแม่ อย่ามาโทษคนเสื้อแดงถูกกระทำด้วยความไม่เป็นธรรมมาก่อน อีกไม่นานก็ต้องมายุบพรรคเพื่อไทยอีก เงิน พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังไปยึดเขา เพื่อเอาไปให้เสื้อเหลือง ถ้าเปรียบบ้านนี้เหมือนว่ามีพ่อมีแม่ เสื้อแดงก็เป็นลูกคนหนึ่งชื่อไอ้แดง มีพี่ชายคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนคนเสื้อเหลืองก็เป็นลูกพ่อแม่อีกคน เรียกว่า ไอ้เหลือง มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นพี่ชาย ไอ้แดงมันเป็นลูกพ่อแม่เดียวกันกับไอ้เหลือง แต่พ่อแม่ให้สิทธิ์ไอ้เหลืองมากกว่า มันเลยทำให้ไอ้แดงมันคิด ขอฝากบอกว่า สงครามแห่งอำนาจมันแก้ไขง่าย แต่สงครามความเชื่อและสงครามความคิดมันแก้ยาก แผ่นดินมันแตกมาแล้วในหลายประเทศ”

คำว่า “พ่อ” และ “แม่” ที่นายสุทินพูดถึงมีเจตนาที่จะหมายถึงใคร

เมื่อเกมเปิดหน้าแล้วเช่นนี้ ก็เป็นที่มั่นใจได้ว่า นช.ทักษิณต้องทำทุกวิถีทางทั้ง “บนดิน” และ “ใต้ดิน” เพื่อบีบคั้นให้ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตัดสินใจ “ยุบสภา” ในเร็ววันเพื่อทำให้พรรคเพื่อไทยกลับเข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศไทยอีก ครั้ง ก่อนที่จะหาทางแก้ไขกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมความผิดทั้งหลายทั้งปวง และขอเงิน 4.6 หมื่นล้านคืน เพื่อที่จะทำความฝันของเขา คือ การสถาปนารัฐไทยใหม่ ให้กลายเป็นความจริง

แต่ปัญหาก็คือ ยิ่งนานวัน ความฝันของเขาก็ยิ่งใกล้ถึง “ทางตัน” มากขึ้นทุกที เพราะทุกยุทธศาสตร์ทุกยุทธวิธีที่งัดออกมาใช้ยังไม่สามารถทำให้บรรลุถึง วัตถุประสงค์ที่วางไว้ได้

เรียกว่า ทำทุกวิถีทาง ทั้งดูดเลือดไพร่ก็แล้ว ปลุกสงครามชนชั้นไพร่-อำมาตย์ก็แล้ว แรลลี่สยองขวัญก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นผลอะไรในเชิงความสำเร็จเป็นรูปธรรมสักที รัฐบาลก็ยังคงอยู่ดีมีสุขและสามารถทำกิจกรรมเพื่อบริหารประเทศต่อไปได้ ทั้งการประชุมคณะรัฐมนตรีหรือการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ชัยชนะของ นช.ทักษิณจึงมีแค่เพียงคำประกาศเพ้อเจ้อของ 3 เกลอหัวขวดบนเวทีว่า พวกเราชนะแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำเล่าวกเวียนไปมาเท่านั้น

ดังนั้น นช.ทักษิณจึงจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เสียใหม่ให้เข้มข้นและ หนักหน่วงยิ่งขึ้น เดินเกมทั้งบนดินและใต้ดินด้วยการสั่งให้ “หุ่นทุกตัว” ที่ถืออยู่ให้มือให้ออกมาปฏิบัติการโค่นล้มรัฐบาล โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติจะฉิบหายสักเท่าใด

ดังนั้น เมื่อยังไม่สำเร็จสมประสงค์ สิ่งที่จะต้องจับตามองต่อไปก็คือ เมื่อไม่สามารถยั่วยุทหาร ยั่วยุรัฐบาลให้ใช้ความรุนแรงได้ สุดท้ายก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนเป้าหมายของการยิง M-79 หรือ RPG เสียใหม่ให้หันมาสู่มวลชนคนกันเอง โดยหวังว่า เลือดไพร่จะทำให้คนเสื้อแดงบ้าระห่ำและก่อการจลาจลขึ้นมาได้

ใครจะไปรับประกันได้ว่า วันที่ 27 มี.ค.นี้จะไม่มีการยิง M-79 หรือ RPG ตกไประหว่างการเคลื่อนขบวนแรลลี่สยองขวัญรอบกรุงครั้งที่ 2

Wednesday, March 24, 2010

บทรำพึงถึง...ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

โดย สำราญ รอดเพชร 9 มีนาคม 2553 15:25 น.
เมื่อวานซืน (8 มี.ค.53) วิทยุชุมชนบางคลื่นนำคำปราศรัยของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.ที่ระยองเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 7 มี.ค.มาออกอากาศซ้ำ ฟังชัดบ้างไม่ชัดบ้างแต่ก็พอจะปะติดปะต่อได้ แต่เมื่อผนวกรวมกับที่ผมได้ติดตามรับฟังการปราศรัยของ นปช.อยู่พอประมาณ ต้องยอมรับว่า “เดอะเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้กลายเป็นดาวไฮปาร์คหมายเลข 1 ของเวทีคนเสื้อแดงไปแล้ว...แม้จะมีสีสันลีลาสภาโจ๊กผสมอยู่บ้าง แต่พักหลังๆ คนบ้านเดียวกันกับผม (นครศรีฯ) คนนี้ได้ยกระดับเนื้อหา ลีลาปราศรัยขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว..

ผมจึงไม่แปลกใจที่ร่วมๆ 2- 3เดือนมาแล้วที่ณัฐวุฒิจะเป็นผู้ปราศรัยปิดเวที เหมือนที่ อ.สม เกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เคยถูกจัดวางตอนชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผมก็ไม่แปลกใจที่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวบางหน่วยบอกเล่าเก้าสิบผมว่า ระยะหลังๆ คนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ชื่นชม ไว้วางใจและดูแลคุณน้องเต้นของผมเป็นอย่างดี ส่วนจะดูแลอย่างไรผมไม่อยากอธิบายก้าวล่วงเรื่องส่วนตัว...

ภายใต้ลีลาปราศรัยย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองหลัง 2475 ปลุกเร้าได้อารมณ์สู้รบแบบสุดๆ หยอดด้วยมุกฮาตามแบบฉบับณัฐวุฒิ ที่เวทีเสื้อแดงระยอง เท่าที่จับประเด็นได้บางตอนเขาพยายามเสนอว่า

1) สงครามรอบนี้เป็นสงครามของไพร่ฟ้าสามัญชนโค่นล้มอำมาตย์ เป้าตัวบุคคลคือพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่ชั่วร้ายสารพัดในสายตาของ นปช.

2) ในอดีตนักสู้สามัญชน ตั้งแต่ปรีดี พนมยงค์, ป๋วย อึ๊งภากรณ์, จิตร ภูมิศักดิ์ และนักคิดนักเขียนนักต่อสู้เพื่อบ้านเพื่อเมืองจำนวนมากได้ถูกฆ่าถูกทำร้าย เพราะชนชั้นอำมาตย์ ซึ่งหลายครั้งอำมาตย์ใช้ไพร่ฟ้าสามัญชนเป็นเครื่องมือให้เข่นฆ่าพวกเดียวกัน เช่นเดียวกับ..

3) สนธิ ลิ้มทองกุล ที่เคยเป็นเพื่อนรักทักษิณในที่สุดก็ถูกมหาอำมาตย์หลอกใช้แล้วเข่นฆ่าอย่าง เลือดเย็น ดังนั้น

4) สนธิ-พันธมิตรฯ และประชาชนทุกสีเสื้อต้องมาร่วมกันต่อสู้กับคนเสื้อแดงเพื่อปลดปล่อยการกด ขี่ทุกรูปแบบ...สร้างประเทศไทยใหม่ให้ลูกหลาน

...ฯลฯ...

อันที่จริงหลายคนบนเวทีเสื้อแดงพยายามพูดจาปราศรัยด้วยภาษาเนื้อหา ทำนองนี้ แต่หากวัดกันภายใต้มาตรฐานเวทีเสื้อแดง ที่ทำได้ดีมีศิลปะจูงใจสูง ปลุกเร้าได้ฮึกเหิมต้องยกให้ณัฐวุฒิและจตุพร พรหมพันธุ์

อย่างไรก็ตาม ทั้งหลายทั้งปวงหากพินิจพิจาณากันในรายละเอียดแห่งข้อมูลและเนื้อหา สิ่งที่สองเกลอสามเกลอพูดจาปราศรัยในหลายๆ ครั้ง จะพบว่ามีการบิดเบือนข้อมูลกันแบบซึ่งหน้า กล่าวหาคนอื่นด้วยความเมามันปราศจากข้อมูลข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีใส่ร้ายพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่ไม่อยู่ในฐานะจะมาตั้งโต๊ะแถลงโต้ตอบกับม็อบถ่อยเถื่อนได้..

นั่นยังไม่นับความไม่มีสัมมาคารวะตามแบบฉบับสังคมไทย ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์กันได้แต่ต้องใช้ท่วงทำนองที่เหมาะสม และประเด็นนี้เองที่ทำให้เวทีคนเสื้อแดงดูถ่อยเถื่อนหยาบช้า เสียราคาไปมาก เพราะถึงแม้จะยกเหตุผลบางเรื่องได้น่าฟังน่าพิจารณาอยู่บ้างแต่ด้วยกิริยา วาจาสามหาวหยาบคายสุดๆ ของผู้ปราศรัยส่วนใหญ่ มันทำให้บางประเด็น บางประโยคที่น่ารับฟังน่าพิจารณาของคุณน้องณัฐวุฒิ น้องตุ๊ดตู่ ถูกละลายกลายเป็นสิ่งเน่าเหม็นไปอย่างน่าเสียดาย..

ประเด็นสำคัญที่สุด ที่จะต้องฝากไปถึงเพื่อนพ้องน้องพี่สามเกลอและคนเสื้อแดงก็คือ พวกคุณยังไม่สามารถที่จะอธิบายความให้สังคมส่วนใหญ่เชื่อได้ว่าทักษิณ ชินวัตร คือคนดีที่ถูกรังแก, ทักษิณไม่ได้โกงบ้านกินเมืองอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือถูกลงโทษ, ทักษิณเคารพกฎหมายบ้านเมืองประกาศจะมารับโทษแล้วแต่ยังถูกไล่ล่า, ทักษิณคือนักต่อสู้เพื่อบ้านเพื่อเมืองระดับน้องๆ ดร.ปรีดี พนมยงค์ หรืออ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จิตร ภูมิศักดิ์...

และแน่นอนว่าสามเกลอและแกนนำคนเสื้อแดงไม่สามารถอธิบายได้ เลยว่า การต่อสู้รอบนี้ไม่ได้ต่อสู้เพื่อทักษิณ ไม่ได้ต่อสู้เพื่อคนคนเดียวหรือตระกูลเดียวแต่อย่างใด เพราะแทบทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่ส่งเสียงเรียกให้ทักษิณกลับมา...เช่นนี้แล้ว การจะอ้างว่านี่คือการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่ ระหว่างอำมาตย์กับไพร่ฟ้าสามัญชน กลายเป็นเรื่องที่ “ขี้หกทั้งเพ” ไปอย่างน่าเสียดาย...

ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าฟังณัฐวุฒิปราศรัยคืนนั้นแล้วต้องยกนิ้วโป้งให้ใน แง่ลีลาและวาทกรรม ถ้าไม่ทราบมาก่อนว่าผู้ปราศรัยรับใช้ทักษิณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ผมก็อยากไปร่วมชุมนุมให้กำลังใจด้วยคน หรือแม้กระทั่งคนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ก็เถอะหากได้ฟังการปราศรัยที่เร้าใจดังว่าและไม่รู้ว่าคุณน้องณัฐวุฒิเป็นลม หายใจของทักษิณ คุณสนธิที่ถูกระบุว่าเป็นเหยื่ออำมาตย์ก็คงให้กำลังใจคุณน้องณัฐวุฒิเช่น เดียวกับผม...

เพราะคุณสนธิ, แกนนำพันธมิตรฯ, ผมและใครต่อใครอีกจำนวนมาก เราไม่ได้ต่อสู้เพื่อเป็นเครื่องมือของใคร แต่เป็นการต่อสู้ที่มุ่งปกป้องความถูกต้อง กำจัดนักการเมืองโกง และปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ...

พูดก็พูดเถอะ ถ้ากองทัพคนเสื้อแดงเอาคำว่า “ทักษิณ” ออกไปจากเป้าหมายการต่อสู้ ออกไปจากสมการอำนาจ การปราศรัยของณัฐวุฒิจะน่ารับฟังขึ้นอีกเยอะ

ณัฐวุฒิชักชวนให้คนทุกสีเสื้อไปร่วมสู้กับคนเสื้อแดง ผมก็อยากชักชวนณัฐวุฒิเช่นเดียวกันว่า ...ออกมาจากอ้อมอกของทักษิณแล้วมาต่อสู้เปลี่ยนแปลงประเทศไทยร่วมกันไหม?

ปลดปล่อยตัวเองออกจาก “ทักษิณ” เสียก่อน แล้วค่อยชวนชาวบ้านออกไปต่อสู้ จะดูดีกว่ากันเยอะเลย พี่ขอเป็นกำลังใจจริงๆ นะน้องเต้นเอ๊ยยยย!!

samr_rod@hotmail.com

ธาตุแท้!

ธาตุแท้!
โดย แสงแดด 23 มีนาคม 2553 14:16 น.
ยิ่งนับวัน เรายิ่งเห็น “ธาตุแท้-ตัวตน” ที่แท้จริงของคุณทักษิณ ชินวัตร มากยิ่งขึ้น ว่าเป็นคนเช่นไร!

การระดมให้กลุ่ม “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่ง ชาติ (นปช.)” และ “กลุ่มเสื้อแดง” เดินหน้าเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมประท้วงให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “ประกาศ ยุบสภา” ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 กว่าวัน จนเคลื่อนขบวนใหญ่อีกครั้ง เมื่อวันเสาร์ที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา ด้วยการนำขบวนสมาชิกคนเสื้อแดงมีจำนวนมากถึงสี่หมื่นกว่าคนผ่านถนนสายหลักๆ ของกรุงเทพฯ ประมาณ 9 เส้นทาง ระยะทาง 50 กว่ากิโลเมตร

การเคลื่อนขบวนของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันเสาร์ ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าดูอลังการยิ่งใหญ่เอาเรื่องทีเดียว เนื่องด้วยหัวขบวนเริ่มเข้าสู่ถนนรัชดาภิเษก แต่ปลายแถวขบวนยังอยู่ที่เวทีชุมนุมสะพานผ่านฟ้าลีลาศ

จากภาพที่เห็นในจอโทรทัศน์และสื่อต่างๆ นั้น “คนเสื้อแดง” เต็มถนนขบวนยาวเหยียด และบางเส้นทางขบวนได้ปิดเส้นทางถนนทั้งสองฟากจนเกิดการปะทะกันบ้างของกลุ่ม ประชาชนที่ต้องสัญจรไปมากับกลุ่มเสื้อแดง

เป้าหมายสำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต้องการแสดงความขอบคุณชาวกรุงเทพ มหานคร ด้วยการแจกดอกไม้ “ดอกไม้หลากสี” ตลอดเส้นทาง พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณพี่น้องชาวกรุงเทพฯ จากแกนนำและได้รับการตอบรับจากประชาชนเช่นเดียวกัน

แต่เป้าหมายจริงๆ แล้ว น่าจะเป็นการโชว์พลังของกลุ่มเสื้อแดง ทั้งต่อคนไทยและโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคุณทักษิณ ตลอดจนคาดการณ์ว่าจะเกิดการสร้างแนวร่วมจากพี่น้องชาว กทม. ให้เข้ามาร่วมสมทบกับการขับเคลื่อนบนท้องถนน เพื่อให้เกิดความอลังการยิ่งใหญ่ แต่ก็มิได้เป็นเช่นนั้นไม่ มีเพียงประชาชนบางเส้นทางที่ร่วมสมทบบ้างอย่างประปราย พร้อมกับ “ป้าย สนับสนุน” และแน่นอน “ป้ายต่อต้าน!”

ขอย้ำว่า “การชุมนุม” และ “การเคลื่อน ขบวน” เมื่อวันเสาร์ที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น น่าจะวิเคราะห์ได้ว่า เพื่อเป็นการโชว์พลังของกลุ่มเสื้อแดงที่มีจำนวนมากที่ต้องการกดดันรัฐบาล แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ตระหนักรับรู้กันว่า เป้าหมายที่แท้จริงนั้นคือ “สนับ สนุนคุณทักษิณ” เพื่อให้ได้อำนาจกลับคืนมา เนื่องด้วยการชุมนุมจะมีทั้ง “ป้ายชื่อ” และ “รูปภาพคุณทักษิณ” ที่เป็นสัญลักษณ์ “ผู้นำ” ของทั้ง “นปช.-เสื้อแดง”

เป้าหมายสอดคล้องกันที่สุด ของทั้ง “กลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อ แดง” และ “พ.ต.ท.ทักษิณ” คือ “การโชว์ สมรรถนะ-โชว์พลังมวลชน” ว่ามีประชาชนนับหมื่นนับแสนคนสนับสนุนทั้งคุณทักษิณและกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเป้าหมายที่แท้จริง แน่นอน “เพื่อคุณทักษิณ!”

ดังนั้น เป้าหมายที่สอดคล้องทั้งสองฝ่ายนั้น ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา และล่าสุด 10 กว่าวันที่ผ่านมา น่าจะ “แฮปปี้” กันทั้งสองฝ่าย ที่ไม่ต้องวิเคราะห์เลยว่าคุณทักษิณแฮปปี้ที่สุด ที่ถูกกล่อมว่า มีคนไทยสนับสนุนเรือนแสนคน จนยอม “ปล่อยก๊อกสอง-ท่อน้ำเลี้ยง” แก่กลุ่มแกนนำ นปช. และเสื้อแดงในการระดมผู้คนมาร่วมชุมนุมเพิ่มเติมต่อไปอีก

ส่วน “กลุ่มแกนนำ นปช.” นั้น แทบไม่ต้องกล่าวถึง “ความ อิ่มเอม” ที่ได้รับการตอบสนองอย่างเต็มพิกัด ในการระดมกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งจากต่างจังหวัดและในกรุงเทพมหานคร ที่ความจริงนั้นเป็น “ระบบยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว” ตลอดจน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จากพรรคเพื่อไทยที่ถูกสั่งให้ระดมพี่น้องประชาชนทั้งจากภาคเหนือและภาค อีสานอย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 1 ส.ส.ต่อประชาชน 1,000 คน

จากการที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเปิดเผยว่า “เงิน” เป็นปัจจัยสำคัญที่แน่นอนคุณทักษิณ จะต้องส่งท่อน้ำเลี้ยงอย่างน้อยวันละไม่ต่ำกว่า 10-15 ล้านบาท หรืออาจจะมากกว่านั้น ส่วนกลุ่มนายทุนอื่นๆ นั้น ไม่น่าเชื่อว่า จะมีการระดมได้มากมายนัก

หรือแม้กระทั่ง “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เดินทางออกจากโรงพยาบาลแล้วขึ้นเวทีร่วมต้อนรับ “กลุ่มเสื้อ แดง” ที่เดินทางกลับจากการเดินสายตามถนนหลัก 9 เส้นทาง ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร บนเวทีที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ในฐานะประธานพรรคเพื่อไทย ซึ่งแสดงตัวตนอย่างชัดเจนว่า “เพื่อคุณ ทักษิณ” และเสื้อแดงด้วยการใส่เสื้อแดง

ทั้งนี้ ถามว่า “การระดม-การชุมนุม-การขึ้นเวที” ของบรรดากลุ่มแกนนำ และแม้กระทั่ง พ่อใหญ่จิ๋วนั้นมี “ค่าใช้จ่าย” หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “มีแน่นอน!” ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้น เป็น “การแสดง” แทบทั้งสิ้น พร้อมทั้งต่างมี “ค่าตัว” ทั้งหมด หรือแม้กระทั่ง ถามว่า “ผู้จ่าย” คือ คุณทักษิณ นั้นก็ “อิ่มเอม” กับ “ความอิ่มเอม” ของ “กลุ่มนักแสดง” ทั้งหมดเช่นเดียวกัน

จริงๆ แล้ว ทั้ง “การโชว์พลัง” ที่ต่างฝ่ายต่างได้ พร้อมทั้ง “ไม่เสียหน้า!” ของทุกฝ่าย ถือว่า “ชนะ-ชนะ : Win-Win” ด้วยกันทุกฝ่าย แต่ต้องยอมรับความจริงว่า “ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ไม่มีการชนะทุกฝ่ายทั้งหมด ต้องมีผู้เสียหายผู้แพ้อยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง” ซึ่งก็คือ “ประชาชน-ประเทศชาติ” ที่ต้องประสบปัญหารถติด พร้อมทั้ง “การเตือนภัย” จากสังคมนานาชาติให้ระวังตัวเมื่อมาท่องเที่ยวประเทศไทย

ประเด็นคำถามที่ยังคงค้างคาใจเราคนไทยทุกคนถึง “ความยืด เยื้อ” ของการชุมนุมในครั้งนี้ พร้อมทั้ง “จำนวน” ของกลุ่มผู้ชุมนุมว่ามีมากน้อยและยาวนานเท่าใด

เท่าที่ประมวลและประเมินข้อมูลล่าสุด จากจำนวนของกลุ่มผู้ชุมนุมน่าจะถูกกำหนดให้ยืนระยะกันได้สูงถึงหลัก 4 หมื่นถึง 5 หมื่นคน และเมื่อใดที่มีระดมให้ฮึกเหิม 7-10 วันครั้ง ต้องสามารถระดมให้มากถึงหลัก 8 หมื่น ถึงแสนคน ดังนั้น คำตอบจึงอยู่ในตัวของมันเองว่า “ยืดเยื้อ” แน่นอน

ส่วนคำถามที่ว่าจะยืดเยื้อเพียงไหนนั้น น่าเชื่อว่า ช่วงสงกรานต์จะมีจำนวนน้อยหรืออาจเลิกราระยะหนึ่ง และน่าจะกลับมารวมตัวกันใหม่หลังเทศกาลสงกรานต์ อย่างช้าช่วงต้นเดือนพฤษภาคม

ทั้งนี้ทั้งนั้น ต่างมีการวิพากษ์วิจารณ์และเชื่อมั่นว่า “คุณ ทักษิณเล่นไม่เลิกแน่!” เนื่องด้วยคุณทักษิณมี “อุปนิสัย ใจคอ” และ “พฤติกรรม” ที่ “อาฆาต-เคียด แค้น-พยาบาท” และเชื่อมั่นว่า “เงินเนรมิต-เงินซื้อได้ ทุกอย่าง!”

เพราะฉะนั้น ต่างฟันธงเลยว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช.และเสื้อแดงนั้น “เลิกยาก!” และจะถูกกำหนดให้ปั่นป่วนเช่นนี้ตลอดไปจนกว่า “เป้าหมาย” ของคุณทักษิณและคณะบรรลุ ซึ่งนั่นก็คือ “อำนาจ-ผลประโยชน์” อีกครั้งหนึ่ง เพื่อปรับเปลี่ยนสารพัดกฎหมายที่ก่อความเสียหายให้แก่ตนเองและคณะ ซึ่งมิใช่ “หลักการ-อุดมการณ์ประชาธิปไตย” แต่อย่างใด

ในขณะเดียวกัน ก็น่าสงสัยเช่นเดียวกันว่า “กลุ่มแกนนำ นปช.-เสื้อแดง” ปรารถนาที่จะให้เกิดการยุติการชุมนุมหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ไม่น่าเป็นไปได้” เช่นเดียวกัน เพราะถ้าปล่อยให้การชุมนุมยืดเยื้อยาวนาน “รายได้” ก็จะไหลรินเป็นรายได้ก้อนโตอย่างต่อเนื่อง ถามว่า “แล้วเรื่องอะไร จะเลิก-แล้วเรื่องอะไรจะขาดรายได้?”

ถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว คงไม่ต้องสงสัยเลยว่า “กระเป๋า คุณทักษิณถูกล้วงมาหลายปีแล้ว!” และ “เหตุการณ์การชุมนุม ตลอดระยะเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ มีหลายคนรวยรับเละนับ 10-100 ล้านบาทไปเรียบร้อย!”

และก็ถามต่อว่า “คุณทักษิณรู้หรือไม่?” ก็ต้องตอบว่า “รู้ดี!” แต่ที่รู้ทั้งรู้ ว่า “เลี้ยง ช้างก็ต้องกินขี้ช้าง!” แต่ก็ต้องยอม เพื่อสร้างความปั่นป่วนและระบายความแค้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือ “วลี เด็ด” ของคุณทักษิณที่ปรารภหลายครั้งกับผู้ไปเยี่ยมเยียนว่า “ถ้า กูอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้ พวกมึงก็อย่าอยู่กันอย่างสงบสุขเลย!”

เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น เปรียบเสมือนเป็น “การ แสดงโรงใหญ่” จนเลยเถิดเรียกได้ว่า “ลิเก!” ได้เช่นเดียวกัน โดยนำเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ “อำมาตย์-ไพร่” ที่นำมาสนองอารมณ์กับบรรยากาศและความรู้สึกของพี่น้องประชาชนระดับรากหญ้า ที่ยากจน ทั้งในชนบทและในเมืองหลวงที่นิยมชมชอบดูละครจักรๆ วงศ์ๆ

และที่สำคัญที่สุด คือ “ความมั่งคั่ง” ที่เงินในกระเป๋าอู้ฟู่ของกลุ่มผู้แสดงหลักที่ปรารถนาความยืดเยื้อ ส่วนคุณทักษิณนั้น “มั่งคั่ง-สะใจ” ที่มี “กลุ่ม ผู้แสดงชำระแค้นแทนตน” และ “กระเป๋าฉีก!”

ซึ่งนี่คือ “ธาตุแท้” ของคุณทักษิณ!

Tuesday, March 23, 2010

Profile: Thaksin Shinawatra

Thaksin Shinawatra and his then wife, Pojaman, pictured on 31 July  2008
Thaksin has been convicted of corruption, but protests his innocence

Thaksin Shinawatra is one of the most influential - and polarising - characters in Thai politics.

The Supreme Court has stripped his family of $1.4bn (£910m) in contested assets, over allegations of corruption and conflict of interest, but he remains determined to play a leading role in Thailand.

A telecommunications billionaire, Mr Thaksin was the first prime minister in Thailand's history to lead an elected government through a full term in office.

He was enormously popular, especially among the rural poor, but also proved a divisive figure and was deeply unpopular among many of Bangkok's rich elite.

After more than five years in power, he was ousted in a military coup in September 2006, accused of corruption and abuse of power.

He has been in self-imposed exile since - mostly in London or Dubai.

He faces a two-year jail sentence if he returns to Thailand, after being convicted in absentia on a conflict of interest charge.

But even though he is out of the country, he still has a pivotal influence. A visit to Cambodia to advise the government there in November 2009 stoked considerable tensions.

Former policeman

Born in 1949 in the northern city of Chiang Mai, Mr Thaksin started his career as a police officer.

In 1973, he received a government scholarship to study for a masters degree in criminal justice in the United States.

When he returned he went into business and during the late 1980s began building a successful telecommunications empire.

He founded the Thai Rak Thai (Thais Love Thais) party in 1998, and its rapid emergence transformed Thai politics.

Mr Thaksin swept into office in 2001, soundly defeating the old guard from the Democrat Party.

Poorer voters liked his offers of cheap medical care and debt relief, his nationalist platform and his contempt for the "Bangkok elite".

A solider stands in front of a tank on 21 September 2006
The military took power while Thaksin was at the UN in New York

But big business also liked him for his CEO style of government and his "Thaksinomics" policies, which created a new boom in a country where the Asian financial crisis of the late 1990s had begun.

Mr Thaksin also won support for his handling of the tsunami relief effort after the 2004 Indian Ocean disaster, which devastated parts of south-western Thailand.

Other things were not so easy. He had to face the fallout from his government's suppression of news of an outbreak of bird flu, as well as criticism over the violent deaths of more than 2,500 people during a crackdown on drugs in 2003.

Thailand's Corruption Commission found he had failed to declare all of his wealth, and he was also criticised over the government's handling of the upsurge in violence in the largely Muslim south.

Yet each time he faced pressure, Mr Thaksin appeared to ride out the storm, his backing among his key supporters - Thailand's rural voters - apparently unscathed.

Political turmoil

It was his family's decision to sell its shares in one of Thailand's biggest telecom groups, Shin Corp, that led to Mr Thaksin's downfall.

The early 2006 sale, which netted his family and friends $1.9bn, angered many urban Thais, who complained that the Thaksin family had avoided paying tax and passed control of an important national asset to Singaporean investors.

Amid large-scale street demonstrations, Mr Thaksin called a snap general election for April 2006, effectively telling opponents to "put up or shut up".

But main opposition parties boycotted the polls and many voters chose to register a "no vote".

Faced with the threat of further protests, Mr Thaksin said he would step down. He did for a few weeks, but returned to office in May.

In September that year, following months of political uncertainty, the military seized power while the prime minister was out of the country.

Mr Thaksin relocated to the UK, but shortly after his allies won the first post-coup elections in late 2007, he returned to Thailand.

There he and his family faced a raft of corruption charges - allegations which the former Thai leader probably expected to come to nothing.

But the courts - greatly empowered by a new military-backed constitution - pursued the cases against him and his family with new vigour.

First his wife Pojaman and then Mr Thaksin himself were sentenced to jail terms - with the Supreme Court finding the former leader guilty of corruption.

His assets were frozen, forcing him to sell his controlling stake in English Premier League football club Manchester City shortly afterwards.

Mr Thaksin left Thailand, failing to return home for a court appearance from the Olympic Games in August 2008, and became a fugitive.

Since divorcing his wife - who now lives in Bangkok after her sentence was suspended - he has spent most of his time pursing business deals in Dubai.

He has also collected new passports - from Nicaragua and Montenegro - and conducted a series of high-profile interviews with foreign news outlets.

He remains very much at the heart of Thailand's political dramas.

Mr Thaksin's allies lost power at the end of 2008 after a series of opposition protests and court rulings, but they are still a force to be reckoned with.

The "red shirt" protesters - fiercely loyal to Mr Thaksin - regularly stage rallies demanding political change, and their hero often makes an appearance on a giant video screen to give them encouragement.

Being stripped of his family's fortune could have a significant impact on Mr Thaksin's chances of returning to office in Thailand in the future, but correspondents say he remains a wealthy man by any standards.

But a few days before the court was due to rule on the money, he told his supporters he would continue his political fight with or without the fortune.

การ เปลี่ยนผ่านรัชกาลจะทำให้ประชาธิปไตยไทยสิ้นไป?



โดย Stanley A. Weiss
ที่มา Los Angeles Times

บทความเกี่ยวเนื่อง:The Economist:พ่อร่วงโรย ลูกๆสามัคคีเภท

สัปดาห์นี้เมื่อ 60 ปีที่แล้ว กษัตริย์ภูมิพลอดุลยเดชเสด็จนิวัติสู่ประเทศไทย ขณะนั้นพระชนมายุ22ชันษา เสด็จประทับในต่างประเทศมาตลอดเกือบพระชนม์ชีพ

พระองค์ เข้าสู่พระราชพิธีราชาภิเษก 4 ปีให้หลังพระเชษฐาสวรรคต พสกนิกรชาวไทยกว่าครึ่งล้านร่วมเฉลิมฉลองการพระราชพิธีนั้นบนท้องถนนใน กรุงเทพมหานคร ข้อเขียนเกี่ยวกับพระราชประวัติบันทึกว่า “สำหรับนักโหราศาสตร์แล้ว สวรรค์ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมหัศจรรย์: ก่อนการเสด็จนิวัตสู่มหานครของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้สามวัน เกิดปรากฎการณ์ลูกเห็บตกในกรุงเทพ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปีแต่ปีพ.ศ.2476"

พระองค์มีพระราชสมภพที่ แมสซาชูเส็ตต์ ศึกษาที่สวิตเซอร์แลนด์ ทรงดนตรีแจ๊ซ กษัตริย์ภูมิพลดูเหมือนจะไม่เข้ากับพระราชบัลลังก์ไทย ทว่าผ่านไปหลายทศวรรษ กษัตริย์กลับได้รับความเทิดทูนสักการะจากพสนิกรชาวไทย--ราวกับลัทธิบูชา --อันเนื่องมาแต่พระมหากรุณาธิคุณ,พระราชจริยาวัตร และการอุทิศพระวรกายเพื่อพสกนิกรของพระองค์

สิ่งที่ดูขัดกันนี้ก็คือ ว่า กษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกอาจจะติดกับดักความสำเร็จของพระองค์ เอง หรือกล่าวให้ตรงก็คือ พระราชมรดกของพระองค์อาจจะเป็นที่ระคายเคืองจากการสืบทอดพระราชบัลลังก์ที่ ดูจะขาดความราบรื่น ขณะนี้พระชนมายุ 82 ชันษา กษัตริย์ภูมิพลทรงมีพระประชวร และไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดแก่นักลงทุนในกรุงเทพฯและทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ชาติเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองเช่นนี้

กษัตริย์ ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีของคนไทยมายาวนาน ทว่าวันนี้แตกแยกออกเป็นฝักฝ่ายทางการเมืองและทางสังคม เวลานี้คำถามในใจของคนจำนวนมากก็คือ ประชาธิปไตยที่ไร้เสถียรภาพของประเทศไทยนั้น จะยืนยงได้นานกว่ากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งหรือไม่?

นับแต่ปี 2549 เมื่อทหารโค่นล้มนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งที่ได้รับความนิยม ทักษิณ ชินวัตร ความเคลื่อนไหวในเชิงอำนาจก็ได้ทำให้การเมืองไทยแตกแยก ผู้ประท้วงมหาศาลคือ"เสื้อแดง" ส่วนใหญ่เป็นชาวชนบทและยากจน ซึ่งฝ่ายปกครองชนชั้นนำที่เชื่อกันว่ามหาเศรษฐีโทรคมนาคมทักษิณส่งท่อน้ำ เลี้ยงมาหนุนเสื้อแดงจากต่างประเทศ เพื่อกดดันต่อนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อให้ยุบสภาจัดเลือกตั้งใหม่

อีกฝ่าย"เสื้อเหลือง" กลุ่มนิยมกษัตริย์,ทหารและชนชั้นกลางในเมือง ซึ่งพากันวิพากษ์ระบอบการปกครองของทักษิณว่าประพฤติมิชอบ ซึ่งกลุ่มนี้พยายามโน้มน้าวครอบงำคนกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นชาวนครหลวงที่ถือครองความมั่งคั่งมากกว่าคนยากจนในชนบทถึง13เท่าตัว

ศาล ฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งคดีทางการเมืองได้ตัดสินพิพากษาเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาให้อายัดทรัพย์ทักษิณไว้ราว1.4พันล้านดอลลาร์(46,000 ล้านบาท) โดยอ้างว่าพัวพันกับการคอรัปชั่น ยิ่งทำให้เพิ่มการเผชิญหน้าตึงเครียดระหว่าง2ฝ่าย กลุ่มเสื้อแดงนับแสนได้เดินขบวนประท้วงในเดือนนี้

เมื่อเดือนธันวาคม กษัตริย์ภูมิพลซึ่งมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ดีได้ปรากฎพระองค์ที่โรงพยาบาล ทรงเรียกร้องชาวไทยให้"คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมก่อนผลประโยชน์ส่วนตน" ทว่าความกลัวการเปลี่ยนแปลงรัชกาลก็เข้าครอบงำจิตใจ และเกิดความโกลาหลแก่ประเทศที่มีประชากร 65 ล้านคน

พระราชมณเฑียรบาล การสืบพระราชสันตติวงศ์ปี 2467 กำหนดว่า ผู้ที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ต้องเป็นชาย ดังนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์จะขึ้นสืบทอดพระราชบัลลังก์สืบต่อจากพระราชบิดา โชคไม่ดีที่ว่ามกุฎราชกุมารนั้นทรงมีพระจริยาวัตรที่พิเศษออกไปจากพระราช บิดา ครั้งหนึ่งนานมาแล้วนักธุนกิจคนหนึ่งบอกข้าพเจ้า มกุฎราชกุมารจะสืบทอดพระราชภารกิจได้เพียงใด

รัฐธรรมนูญไทยปี 2517 กำหนดไว้ว่าในกรณีที่ไม่มีพระราชโอรส รัฐสภาสามารถที่จะแต่งตั้งพระราชธิดาขึ้นสืบราชบัลลังก์ก็ได้ พสกนิกรชาวไทยจำนวนมากรู้สึกว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรอาจจะเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ทว่าผู้เชี่ยวชาญชาวไทยบอกข้าพเจ้าว่าตราบเท่าที่พระราชโอรสทรงพระชนม์ ชีพอยู่"โอกาสที่สมเด็จพระเทพฯจะขึ้นสู่พระราชบัลลังก์ก็เป็นเพียงความฝัน "พวกเขาคาดกันว่า พระราชบัลลังก์คงเป็นของสมเด็จพระบรมฯและสถาบันกษัตริย์ก็อาจจะ"อ่อนแอลงและ เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล"

นั่นจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วย เช่นกัน วิธีการหนึ่งคือการควบคุมประชาธิปไตยโดยอ้างว่า เพื่อปกป้องกษัตริย์อันเป็นที่เคารพ – ตามที่ฝ่ายอำมาตย์เสื้อเหลืองได้ลงมือกระทำในปี 2551 – จะเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญอย่างยิ่งสำหรับพวกนิยมเจ้าที่จะกุมอำนาจโดยเบ็ด เสร็จไว้ หากกษัตริย์ที่ได้รับความกังขานั้น ขาดความจงรักภักดีจากบรรดามวลชน

แล้วกองทัพหละเป็นอย่างไร ก็มีหน้าที่ในการทำรัฐประหารมา 18 ครั้งนับแต่ปี 2478 นักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งบอกกับข้าพเจ้าว่า กรณีเลวร้ายที่สุดที่เขามองต่อสถานการณ์การเมืองเวลานี้คือ หากมีผู้นำอายุน้อย และมีบุคลิกที่ดึงดูด ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำในช่วงการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง และเรียกร้องให้ยุติการ “ปฏิบัติสองมาตรฐานในสังคมไทย” สิ่งนี้อาจจะกระตุ้นให้กองทัพรู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังเข้าปราบ เพื่อรักษาสถานะภาพที่ตัวเองเป็นอยู่ ช้างน้อย นักเขียนที่ประจำประเทศไทยคาดว่า กองทัพอาจจะสกัดกั้นการเลือกตั้งในครั้งหน้า และคาดการณ์ว่าทหารคงกระสันที่จะปล้นอำนาจจากผู้ชนะอีกเป็นแน่แท้

สิ่ง ที่คาดหวังกันที่สุดรูปแบบหนึ่งหากมีการเปลี่ยนรัชกาลก็คือ จะจุดประกายให้ประชาธิปไตยมีวุฒิภาวะขึ้น ผ่านทางสถาบันต่างๆ ภาคประชาสังคม และกลุ่มการเมืองต่างๆ

ขั้นแรกจะต้องกำหนดวาระแห่งชาติเกี่ยวกับอำ นาคต ซึ่งก็คงเกิดขึ้นไม่ได้ตราบเท่าที่ยังบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพอย่างเข้มงวด ประเด็นเรื่องการสืบทอดพระราชบัลลังก์ยังคงเป็นเรืองที่ต้องห้าม

ภูมิ พลอดุลยเดชนั้นมีความหมายว่า"พลังของแผ่นดิน,อำนาจอันหาที่เปรียบมิได้" บางทีของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะสามารถพระราชทานแก่ประเทศก็คือ ทรงยินยอมและเริ่มต้นวางแผนสำหรับชีวิตของพสกนิกรชาวไทยเมื่อมีการเปลี่ยน ผ่านรัชกาล

........
*Stanley A. Weiss,has spent part of the year in Thailand for more than 20 years, is founding chairman of Business Executives for National Security, a nonpartisan organization based in Washington.